กระแสฮือฮาตั้งแต่พรีวิวในโปรเจกต์ทีไทย ทีมันส์ 2024 ของ Netflix สำหรับ ดอกเตอร์ไคลแมกซ์ ปุจฉาพาเสียว เพราะนานๆ ทีจะมีคอนเทนต์ไทยที่หยิบเอาเรื่องเซ็กซ์ขึ้นมาพูดถึงแบบโจ๋งครึ่มสักที โดยเรื่องนี้เป็นผลงานเรื่องใหม่ของผู้กำกับ คงเดช จาตุรันต์รัศมี ที่เคยมีผลงานเสียวๆ จากภาพยนตร์เรื่อง สยิว ในปี 2546 และ ปกป้อง-ไพรัช คุ้มวัน กับผลงาน รักจัดหนัก เมื่อปี 2554 ซึ่ง ปุจฉาพาเสียว ไม่ได้มีดีแค่มุกตลกแบบ Dirty Joke เท่านั้น แต่หยิบเอาปัญหาเรื่องเพศมาพูดถึง คลี่คลาย และทำให้เห็นปัญหาชีวิตจากเรื่องเซ็กซ์ จนกลายเป็นงานคอเมดี้ดราม่าซ่อนสารหนักๆ ไปกับเรื่องบนเตียงได้อย่างลงตัว
ย้อนกลับไปในปี 2521 รัฐบาลไทยบรรจุวิชาเพศศึกษาไว้ในแบบเรียนเป็นครั้งแรก แต่ถึงอย่างนั้นปัญหาเรื่องเพศก็ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ที่ไม่ค่อยมีใครกล้าพูดถึง ซึ่งหมอนัท (เต๋อ-ฉันทวิชช์ ธนะเสวี) นายแพทย์ด้านผิวหนังและกามโรค มักจะได้รับคำถามแบบนี้จากคนไข้ที่มาใช้บริการอยู่เป็นประจำ
เอาเข้าจริงชีวิตหมอนัทก็ไม่ได้มีความสุขสักเท่าไร เพราะต้องทำทุกอย่างตามความต้องการของแม่ทั้งด้านอาชีพและความรัก ทำให้เขาใฝ่ฝันอยากเป็นนักเขียนเพื่อหนีไปใช้ชีวิตในโลกจินตนาการ และแล้ววันหนึ่ง ทองเทียน (ต๊อบ-ชัยวัฒน์ ทองแสง) นักเขียนชื่อดังที่หมอนัทชื่นชอบ ได้ชวนให้เขาเขียนคอลัมน์ตอบปัญหาเรื่องเพศ ‘ปุจฉาพาเสียว’ ด้วยนามปากกาว่า ‘ดอกเตอร์ไคลแมกซ์’
ผลปรากฏว่า คอลัมน์นี้ประสบความสำเร็จอย่างสูง ช่วยกู้สถานการณ์ของหนังสือพิมพ์บางกอกทันข่าว และทำให้เขาได้ใกล้ชิดกับ ลินดา (ก้อย-อรัชพร โภคินภากร) จนค้นพบชีวิตเซ็กซ์ที่ตัวเองใฝ่หา แต่นั่นหมายถึงชีวิตครอบครัวระหว่างเขาและ ตุ๊กตา (แพรว-เฌอมาวีร์ สุวรรณภาณุโชค) ต้องสั่นคลอน เท่านั้นยังไม่พอ ความดังของคอลัมน์นี้ยังทำให้นักการเมืองฝั่งอนุรักษนิยมอย่าง หมอพรชัย (บ๊อบบี้-นิมิตร ลักษมีพงศ์) ไม่พอใจ และทำทุกวิถีทางเพื่อเปิดโปงตัวจริงของดอกเตอร์ไคลแมกซ์ให้จงได้ แล้วหมอนัทจะแก้ปัญหาได้เหล่านี้หรือไม่ ต้องไปติดตามกันในซีรีส์
4 อีพีแรกของ ดอกเตอร์ไคลแมกซ์ ปุจฉาพาเสียว มีกลิ่นอายซีรีส์คอเมดี้แบบเต็มๆ ด้วยสารพัดปัญหาจากทางบ้านที่ดูไปหัวเราะไป และอย่างน้อยๆ ต้องมีสักเรื่องที่ไม่ว่าใครก็เคยสงสัยหรือแม้แต่เคยเจอกับปัญหาเหล่านี้
นอกจากนี้ยังสะท้อนว่า ปัญหาเรื่องเพศที่ยังไม่เปลี่ยนไปจนถึงปัจจุบัน เช่น การให้พื้นที่ส่วนตัวระหว่างเด็กกับผู้ปกครอง หรือการเก็บซ่อนความต้องการที่แท้จริงระหว่างคู่ครอง เรื่อยไปจนถึงมุมมองของฝั่งอนุรักษนิยมที่หวังจะมีอิทธิพลเหนือองคชาตและช่องคลอดของผู้คนในสังคมผ่านบรรทัดฐานความดีของหมอพรชัย ก่อนที่ซีรีส์จะพาคนดูไปพบกับปัญหาใหญ่ๆ ที่เกิดจากปัญหาทางเพศในช่วงครึ่งหลัง
ถ้าได้ลองไล่ดูรายชื่อทั้ง 8 ตอนของซีรีส์ก็จะพบว่า มันคือประเด็นปัญหาเดิมๆ ที่แม้ผ่านเวลามานานแค่ไหน ก็ยังคงเป็นปัญหาคาเตียงที่มักเอาไปพูดกันในที่ลับ โดย ปุจฉาพาเสียว พาย้อนไปสู่ยุคปลายยุค 70 – ต้น 80 ที่สังคมเริ่มต้นเปิดรับเรื่องเซ็กซ์ แต่ก็ยังต้องต่อสู้อย่างหนักกับกรอบของสังคมที่ยังคงแข็งแกร่ง ช่วยให้ดีไซน์ตัวละครให้มีความขัดแย้งได้อย่างชัดเจน ซึ่งส่งผลไปถึงจุดจบของตัวละครเหล่านั้นในตอนท้ายเรื่อง
เริ่มตั้งแต่หมอนัท ที่หากมองจากคนภายนอกก็เรียกว่ามีชีวิตสมบูรณ์แบบทั้งหน้าที่การงานและได้แต่งงานกับผู้หญิงที่เพียบพร้อมทุกอย่าง แต่ก็ทำไปตามความคาดหวังของคนอื่น จนทั้งชีวิตการทำงานและชีวิตเซ็กซ์จืดชืด สิ่งที่เขาค้นหาคือการปลดปล่อยที่ไม่ใช่เฉพาะเรื่องเซ็กซ์ แต่คือการปลดปล่อยตัวตนออกจากกรอบเดิมๆ ที่เขาก็ตั้งคำถามกับมันอยู่บ่อยๆ
ส่วนตุ๊กตาคือผู้หญิงที่เหมือนถูกตั้งโปรแกรมเอาไว้แค่การเป็นเมียที่ดี และมองการแต่งงานคือหมุดหมายสุดท้ายของชีวิต ก่อนจะพบว่ามันไม่เป็นอย่างที่คิด จนต้องค้นหาความต้องการของตัวเอง ส่วนที่ชอบมากๆ คือ ในฉากที่ตุ๊กตาเริ่มตื่นรู้ มีเสียงข่าวการแต่งงานดั่งเทพนิยายของเจ้าหญิงไดอานา ซึ่งในท้ายที่สุดชีวิตรักทั้งของตุ๊กตาและเจ้าหญิงไดอานาก็มีจุดจบไม่ต่างกัน
ขณะที่ลินดาเองก็เผชิญกับการเหมารวมเรื่องความเสรีทางเพศ ทั้งๆ ที่เธอก็เป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่มีด้านเปราะบางและต้องการความรักดีๆ ก็ไม่ต่างจากทองเทียนที่เหมือนติดอยู่ในกรอบที่ตัวเองสร้างขึ้น จนสุดท้ายก็ส่งผลต่อชีวิตเซ็กซ์ของเขาเหมือนกัน ซึ่งนอกจากเรื่องเซ็กซ์แล้ว ประเด็นที่สัมผัสได้จาก ปุจฉาพาเสียว คือการยอมรับและปลดปล่อย ในขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับผลที่ตามมา
ทั้งหมอนัทที่ต้องเจอกับความวุ่นวายในครอบครัว แม้จริงๆ แล้วปัญหาที่เกิดขึ้นเหมือนการติดกระดุมเม็ดแรกผิดตั้งแต่ต้นคือ ยอมทำตามกรอบที่แม้วางไว้ให้ จนทุกอย่างบิดเบี้ยวไปหมด ซึ่งก็ไม่ต่างจากรุ่นพ่อรุ่นแม่ที่คิดว่าการแต่งงานคือเรื่องธรรมชาติ แต่จริงๆ แล้วก็อาจจะเป็นการฝืนธรรมชาติสำหรับบางคนเหมือนกัน จนกระทั่งเมื่อเขาได้ปลดปล่อยความเป็นตัวเอง สิ่งที่ท้าทายความเชื่อเดิมก็คือ แท้จริงแล้วเขาก็คือผู้ชายเห็นแก่ตัวทั้งในกรณีคุมกำเนิดตุ๊กตาและการพูดเรื่องผ่านผู้ชายและห่วงคุมอนามัยของลินดา
ขณะที่ลินดาผู้เพลิดเพลินกับแนวคิดเสรีนิยมก็ได้ค้นพบว่า ความต้องการของเธอไม่ต่างจากผู้หญิงทั่วไป และต่อให้เก่งมาจากไหนก็พลาดกันได้ จนกลายเป็นปัญหาชีวิต ซึ่งสวนทางกับตุ๊กตาที่เมื่อพบความต้องการของตัวเองก็พุ่งไปจนสุดทาง แม้ภาพลักษณ์ภายนอกจะเปลี่ยนไป แต่สุดท้ายเธอก็ยังเป็นเด็กอินโนเซนต์บนถนนโลกีย์อยู่ดี
สิ่งที่ต้องชื่นชมของ ปุจฉาพาเสียว คือการเอาหลากหลายประเด็นเข้ามาใส่ในเรื่องทั้งบรรทัดฐานของสังคม, สิทธิสตรี, LGBTQIA+, วัฒนธรรมกลุ่มย่อย และการยอมรับ มาเรียงร้อยเข้าด้วยกันผ่านเรื่องเซ็กซ์ได้อย่างกลมกล่อม จนทำให้นึกถึงซีรีส์คอเมดี้ดราม่าอย่าง The Naked Director ที่พูดถึงเรื่องเซ็กซ์ไปพร้อมกับชีวิตที่ได้รับผลกระทบจากเรื่องเซ็กซ์เหมือนๆ กัน
สำหรับด้านการแสดงโดยภาพรวมก็ทำออกมาได้ดี ทั้งการถ่ายทอดคาแรกเตอร์หมอนัทของเต๋อและเสน่ห์ล้นจอของลินดา รวมทั้งฉากเลิฟซีนในอีพี 3 ที่สื่อสารผ่านสีหน้าและท่าทางให้เซ็กซ์มีความหมายมากกว่าเซ็กซ์ และอีกคนที่ฉายแววโดดเด่นคือ แพรว เฌอมาวีร์ หลังจากที่เห็นแว่บๆ ในละครฮิตอย่าง สงครามสมรส มาในเรื่องนี้ถือว่าได้แจ้งเกิดเต็มๆ หลังจากอยู่ในวงการมานานกว่า 10 ปี
อีกส่วนหนึ่งคือ งานสร้างที่เก็บรายละเอียดช่วงรอยต่อระหว่างยุค 70-80 ได้อย่างหมดจดผ่านองค์ประกอบศิลป์ ฉาก และเสื้อผ้า (โดยเฉพาะลุคของตุ๊กตาตอนเปลี่ยนเป็นสาวเปรี้ยว เหมือนเดินออกมาจากหนังสือโป๊ในยุคนั้นจริงๆ) จนกลายเป็นซีรีส์ไม่กี่เรื่องที่อยากดูรายชื่อคนทำงานตอนท้าย
สรุปแล้ว ดอกเตอร์ไคลแมกซ์ ปุจฉาพาเสียว เป็นอีกหนึ่งซีรีส์ที่โชว์ฝีมือคนไทยและประสบความสำเร็จในบ้านเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ยังรอลุ้นว่าในอีกกว่า 190 ประเทศจะเก็ตไอเดียของเราหรือเปล่า จะได้ปูทางสู่ซีซัน 2 ซึ่งผู้เขียนก็ยังรอติดตาม