ในเรื่องความขัดแย้งด้านดินแดนระหว่างไทย-กัมพูชานั้น เราจะเห็นว่ากัมพูชาจะใช้เทคนิค ‘การไม่เล่นตามกติกาถ้าเสียเปรียบ’ แต่จะ ‘อ้างกติกาถ้าได้เปรียบ’ ซึ่งทำให้ชายแดนไทย-กัมพูชามีปัญหาต่างจากชายแดนด้านอื่น เทคนิคเหล่านั้น เช่น การไม่สนใจ MOU 43 ที่ตนเองลงนามและห้ามดัดแปลงพื้นที่ใดๆ ที่ยังไม่ปักปันเขตแดน แต่ใช้วิธีการให้กำลังทหารขนาดเล็กเข้ามาดัดแปลงพื้นที่ หรือใช้ชาวบ้านเข้ามาตั้งรกราก เมื่อถูกทักท้วงหรือผลักดันก็อ้างว่าเป็นพื้นที่ของตน และต่อรองขยายข้อเรียกร้องเรื่อยๆ ไม่มีวันจบสิ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ประเทศที่ยึดถือกติกาสากลและกฎหมาย ‘ไม่ทำกัน’
แต่ถ้าคิดว่าฝ่ายตนได้เปรียบ ก็จะอ้างกติกาและพยายามสร้างเงื่อนไขให้ตัวเองได้เปรียบตามกติกานั้น เช่น ล่าสุดที่มีข่าวว่าสภากัมพูชาและผู้นำกัมพูชาเรียกร้องให้นำกรณีปราสาทตาเมือนธม ตาควาย และพื้นที่ทับซ้อนต่างๆ ขึ้นสู่การพิจารณาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice: ICJ) หรือที่เราเรียกกันสั้นๆ ว่า ‘ศาลโลก’
เรื่องนี้อาจสร้างความกังวลให้กับคนไทยหลายคน เพราะไทยมีประสบการณ์ในการขึ้นศาลโลกมาแล้ว และคนไทยรู้สึกว่า ‘เราเสียเปรียบและเสียรู้’ เนื่องจากการตัดสินไม่เป็นคุณกับไทยในกรณีปราสาทพระวิหารเมื่อปี 2505
แต่ทั้งนี้ การนำคดีหรือข้อขัดแย้งใดขึ้นสู่ศาลโลก ‘ไม่ใช่เรื่องง่าย’ เพราะศาลโลกไม่เหมือนกับศาลปกครองหรือศาลยุติธรรมที่เรารู้จักกัน และแน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องทีกัมพูชาจะดำเนินการได้ ‘โดยฝ่ายเดียว’ เพราะโดยหลักการแล้ว แม้ทุกประเทศที่เป็นสมาชิกของสหประชาชาติจะถือเป็นสมาชิกของธรรมนูญศาลโลกโดยอัตโนมัติตามที่ระบุไว้ในกฎบัตรของสหประชาชาติ แต่การนำคดีขึ้นสู่ศาลหรือการยอมรับอำนาจของศาลโลกในการพิจารณาคดีใดๆ มีเงื่อนไขหลายอย่างคือ
1. การต้องได้รับ ‘ความยินยอมจากทั้งสองฝ่าย’ (Consent-based Jurisdiction) นั่นคือ คู่ความทั้งสองฝ่ายต้องยินยอมที่จะยอมรับอำนาจศาลในการพิจารณาคดีและตัดสินความขัดแย้งใดๆ การฟ้องคดีโดยฝ่ายเดียวจะ ‘ทำไม่ได้’
2. การยอมรับอำนาจภาคบังคับ (Compulsory Jurisdiction) ซึ่งสามารถทำได้ตามมาตรา 36 วงเล็บ 2 ของธรรมนูญศาลโลก ที่ระบุว่าประเทศต่างๆ สามารถประกาศยอมรับอำนาจศาลได้ ซึ่งจะถือว่าศาลโลกมีอำนาจโดยพฤตินัย (Ipso Facto) ในการพิจารณาคดี
3. การยอมรับอำนาจศาลเฉพาะบางมิติ โดยประเทศต่างๆ อาจเลือกยอมรับอำนาจศาลโลกเฉพาะคดีบางคดีเท่านั้น (Reservation) เช่น การที่ออสเตรเลียยอมรับอำนาจศาลโลก ยกเว้นคดีที่เกี่ยวข้องกับเขตแดนทางทะเล ซึ่งออสเตรเลียยื่นข้อสงวน หลังติมอร์ตะวันออกประกาศอิสรภาพ
4. การยอมรับเฉพาะคดีนั้นๆ หมายถึง คู่ความทั้งสองประเทศตกลงใจที่จะให้อำนาจศาลโลกมีสิทธิในการพิจารณาคดีเฉพาะในคดีนั้นๆ เท่านั้น โดยไม่มีสิทธิในการพิจารณาคดีอื่นๆ ซึ่งต้องยื่นการยอมรับเป็นครั้งๆ ไป
5. การยอมรับผ่านกลไก ‘สนธิสัญญาระหว่างประเทศ’ เนื่องจากมีสนธิสัญญาระหว่างประเทศหลายฉบับที่กำหนดให้ข้อพิพาทใดๆ ที่เกิดขึ้นจากประเด็นของสนธิสัญญาเหล่านั้นให้นำขึ้นพิจารณาในศาลโลก ซึ่งเป็นกลไกที่ช่วงหลังนิยมใช้กัน โดยเฉพาะ ‘อนุสัญญาว่าด้วยการป้องกันและลงโทษความผิดอาญาฐานฆ่าล้างเผ่าพันธุ์’ ที่มีหลายชาติฟ้องคดีเกี่ยวกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในศาลโลก เช่น คดีระหว่างแกมเบียและเมียนมา, คดีระหว่างยูเครนและรัสเซีย และคดีระหว่างแอฟริกาใต้และอิสราเอล แต่ก็จะมีสิทธิฟ้องเฉพาะคดีตามสนธิสัญญานั้นและฟ้องได้เฉพาะรัฐที่เป็นภาคีในสนธิสัญญานั้นที่ไม่ได้ตั้งข้อสงวนใดๆ
เมื่อพิจารณาจากเงื่อนไขดังกล่าว ‘ไทยไม่เข้ากับเงื่อนไขใดเลย’ เพราะแม้ไทยจะยอมรับอำนาจศาลโลกและยินยอมขึ้นสู่ศาลในคดีปราสาทพระวิหารเมื่อปี 2505 แล้ว แต่หลังจากคดีนั้น ไทยก็ไม่ได้ประกาศยอมรับอำนาจศาลโลกภาคบังคับ และไทยไม่เคยประกาศยอมรับอำนาจศาลโลกในกรณีใดๆ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แม้แต่ในสนธิสัญญาระหว่างประเทศที่ไทยเข้าเป็นภาคี ไทยก็มักจะตั้งข้อสงวนในการไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก เช่น การเป็นภาคีของอนุสัญญาระหว่างประเทศเพื่อการปราบปรามการวางระเบิดเพื่อการก่อการร้าย ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้กำหนด เมื่อปี 2558 ให้จัดทำข้อสงวนว่าไทยจะไม่ผูกพันตามข้อ 20 วรรค 1 ของอนุสัญญาฯ ซึ่งกำหนดให้รัฐภาคีระงับข้อพิพาทกัน โดยอนุญาโตตุลาการ หรือศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ
หรือล่าสุดก็คือ การเป็นภาคีอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการบังคับให้หายสาบสูญ คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อปี 2567 ซึ่งวางหลักเกณฑ์แบบขยายไว้ให้ทุกส่วนราชการ และหน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดว่า ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องจัดทำหนังสือสัญญา ซึ่งมีข้อบทให้อำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) มีเขตอำนาจเหนือข้อพิพาทตามหนังสือสัญญานั้น ให้จัดทำข้อสงวนไม่รับอำนาจของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศไว้ทุกเรื่อง เพื่อมิให้กระทบต่ออำนาจอธิปไตยของชาติ
ดังนั้น การที่กัมพูชาประกาศจะฟ้องไทยในศาลโลกในความขัดแย้งที่สามเหลี่ยมมรกตล่าสุดนั้น ก็จะ ‘ไม่มีผลใช้บังคับ ถ้าไทยไม่ยินยอม’ นั่นหมายถึงกัมพูชาไม่มีสิทธิในการฟ้องไทยในศาลโลกในกรณีใดๆ ถ้าไม่ได้รับความยินยอมอย่างเป็นทางการจากไทย ซึ่งในกรณีนี้ กัมพูชาจะเสนอข้อเสนอนี้ในที่ประชุม JBC ระหว่างไทยและกัมพูชาที่จะจัดขึ้นในเดือนมิถุนายนนี้ ทางออกของไทยก็แค่แจ้งในที่ประชุมว่าไทย ‘ไม่ยอมรับมตินี้และปฏิเสธการขึ้นศาลโลก’ และยืนยันให้ใช้ ‘กลไก MoU43’ ซึ่งเป็นกลไกที่วางหลักในการแก้ปัญหาด้านเขตแดนอยู่แล้ว จึง ‘ไม่จำเป็น’ ต้องขึ้นศาลโลก
อนึ่ง จะมี ‘กรณีเดียวที่ไทยควรจะขึ้นศาลโลก’ ก็คือ คดีหรือการฟ้องคดีใดๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับคดีปราสาทพระวิหารเมื่อปี 2505 ซึ่งแม้หลังจากคดีนี้ไทยจะถอนการยอมรับอำนาจศาลโลก แต่ไม่ได้หมายความว่าไทยจะไม่ผูกพันกับคำพิพากษาในคดีนี้ เนื่องจากไทยยินยอมที่จะนำคดีขึ้นสู่ศาลในครั้งนั้นด้วยตัวเอง และตามหลักกฎหมายโดยทั่วไปแล้ว คำพิพากษามีลักษณะต่อเนื่อง ดังนั้นไทยจำเป็นจะต้องปฏิบัติตามคำพิพากษา
ซึ่งก็หมายถึงเมื่อกัมพูชาสร้างสถานการณ์จนนำไปสู่การรบในปี 2554 และยื่นตีความคำพิพากษาในปี 2505 ให้ศาลพิจารณาว่าเขตแดนตามแผนที่ 1 ต่อ 200,000 เป็นเขตแดนระหว่างไทยและกัมพูชา เพื่อให้กัมพูชาสามารถกำหนดเส้นเขตแดนบริเวณปราสาทพระวิหารได้ตามแผนที่ของตน กรณีนี้ถ้าไทยไม่ขึ้นศาลเพื่อแย้ง ศาลก็มีสิทธิที่จะฟังหลักฐานจากกัมพูชาเพียงฝ่ายเดียวและตัดสินได้ ดังนั้นไทยจึงขึ้นศาลเพื่อแย้งคำขอให้ตีความคำพิพากษาของกัมพูชา ซึ่งนำมาสู่การตีความคำพิพากษาในปี 2556 ที่ศาลโลกระบุว่า ‘กัมพูชามีอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหาร’ แต่เส้นเขตแดนเป็นสิ่งที่ทั้งสองประเทศจำต้องไปตกลงกันเอง ศาลอาจให้คำแนะนำได้ด้วยการลากเส้นสมมุติว่าศาลเห็นว่าเส้นเขตแดนบริเวณปราสาทพระวิหารจะเป็นอย่างไร แต่ไม่ได้ถือว่าเป็นข้อยุติ ถ้าทั้งสองฝ่ายไม่ยอมรับ
จึงทำให้เห็นว่า กรณีเดียวที่กัมพูชาจะพาไทยขึ้นสู่ศาลโลกได้อีกครั้งก็คือการยื่นตีความคำพิพากษาในปี 2505 ใหม่อีกครั้ง ด้วยการยื่นให้ศาลพิจารณาว่าแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ของกัมพูชานั้นจะมีผลโดยชัดแจ้งกับพื้นที่อื่นหรือไม่ ซึ่งไทยควรเตรียมตัวเพื่อคัดค้าน แต่ถ้ากัมพูชายื่นขอตีความคำพิพากษาแบบนี้จริง เมื่อพิจารณาจากคำพิพากษาของศาลในอดีตแล้ว ศาลมักจะถือว่าเป็นการฟ้องคดีใหม่ เพราะในคดีปราสาทพระวิหารปี 2505 นั้น ศาลพิจารณาเฉพาะ ‘อธิปไตยเหนือตัวปราสาท’ เท่านั้น ไม่ได้พิจารณาเส้นเขตแดน และคำพิพากษาใช้เฉพาะตัวปราสาทพระวิหารเท่านั้น ไม่สามารถนำไปอ้างอิงเพื่อใช้ในพื้นที่อื่นได้ ซึ่งสุดท้ายศาลจะยกฟ้องและจำหน่ายคดีออกไป
และเช่นเดียวกัน แผนที่และการปักปันเขตแดนทางบก เป็น ‘คนละกรณี’ และใช้หลักกฎหมาย ‘คนละฉบับ’ กับเขตแดนทางทะเล ที่มักจะอ้างอิงอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล (United Nations Convention on the Law of the Sea) ซึ่งกำหนดให้ถ้ามีข้อขัดแย้งใดๆ ของรัฐภาคีให้นำความขึ้นพิจารณาในศาลอนุญาโตตุลาการทางทะเลระหว่างประเทศ ซึ่งจะเป็น ‘คนละหน่วยงาน’ กับศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือศาลโลก ซึ่งหมายถึง ‘กรณีเกาะกูด’ นั้นไทยไม่สามารถถูกบังคับให้นำความขึ้นสู่ศาลโลกได้ ยังไม่นับว่ากรณีเกาะกูดมีสนธิสัญญาระหว่างประเทศชัดเจนว่าเป็นของไทย
ดังนั้น สิ่งที่ประชาชนคนไทยควรจะตระหนักก็คือ ‘การมีสติ อย่าตกใจหรือกังวลใจ’ ตามผู้นำของกัมพูชาที่ใช้เกมการแถลงข่าวรายวัน เพื่อสร้างสถานการณ์ให้ตนเองได้เปรียบ แต่ทั้งนี้ ก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องออกมาทำความเข้าใจกับประชาชนอย่างชัดเจนและตรงไปตรงมา ด้วยการแถลงที่เข้าใจความรู้สึกของประชาชน เพื่อสร้างความเข้าใจและทำให้ประชาชนคลายความกังวล ไม่ใช่แถลงแบบอ่านหนังสือราชการที่ประชาชนเข้าใจยาก ไม่ตรงประเด็น จับใจความได้ยาก รวมถึงนายกรัฐมนตรีที่จะต้องมีบทบาทในการเป็นผู้นำมากกว่านี้ ด้วยการสื่อสารกับประชาชนอย่างต่อเนื่องด้วยตัวเอง อย่าปล่อยให้รองนายกรัฐมนตรีหรือคุณพ่อของนายกรัฐมนตรีเป็นผู้แถลงเองทุกครั้ง เพราะนี่คือ ‘โอกาสสำคัญ’ ที่จะทำให้ประชาชนเห็นว่า นายกรัฐมนตรีเป็นนายกรัฐมนตรีที่มีอำนาจเต็มจริงๆ ไม่ต้องฟังใคร และทำงานเต็มจริงๆ โดยไม่ต้องรอรับคำสั่งจากใคร
แฟ้มภาพ: Faris Hadziq / SOPA Images / LightRocket via Getty Images