จาการ์ตา – ตลอดหลายปีที่ผ่านมา การติดตามข่าวเกี่ยวกับอาเซียนของดิฉันมักจะวนเวียนอยู่กับภาพที่คุ้นเคย: ขบวนผู้นำในชุดสูทที่เป็นทางการ การจับมือทักทายอย่างสุขุมบนเวทีที่จัดเตรียมไว้อย่างดี และแถลงการณ์ร่วมที่ผ่านการกลั่นกรองทุกถ้อยคำ นี่คือภาพของ ‘อาเซียน’ ในมิติของการทูตระดับสูง ซึ่งแม้จะเป็นกลไกสำคัญในการสร้างเสถียรภาพของภูมิภาค แต่ก็ให้ความรู้สึกที่ห่างไกล เป็นแนวคิดเชิงนามธรรมสำหรับพลเมืองกว่า 600 ล้านคน
แต่ในช่วงสุดสัปดาห์ วันที่ 4-5 ตุลาคมที่ผ่านมา ณ กรุงจาการ์ตา ดิฉันได้สัมผัสกับ ‘อาเซียน’ ในอีกมิติหนึ่ง บรรยากาศภายในห้องโกลเดน บอลรูม ของโรงแรมสุลต่าน ไม่ได้อบอวลไปด้วยความเงียบขรึมและพิธีรีตองของเวทีประชุมสุดยอดผู้นำ แต่กลับอัดแน่นไปด้วยพลังงานอันล้นหลามของคนหนุ่มสาว นักกิจกรรม และผู้นำภาคประชาสังคมหลายพันคนจากทั่วทั้งภูมิภาค งานเสวนานี้คือการประชุมอาเซียนเพื่อประชาชน ASEAN for the Peoples Conference (AFPC) ซึ่งสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ นี่ไม่ใช่อาเซียนในฐานะกลุ่มก้อนทางการเมือง แต่คืออาเซียนในฐานะชุมชนที่มีชีวิต มีลมหายใจ และเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นที่จะส่งเสียงของตัวเอง
บรรยากาศงานประชุม ASEAN for the Peoples Conference
ที่กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย
การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นภายใต้หัวข้อ ‘การปลดปล่อยศักยภาพทรัพยากรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้’ ซึ่งถือกำเนิดขึ้นจากการยอมรับความจริงอย่างตรงไปตรงมาของ ดร.ดิโน แพตตี้ จาลัล ผู้ก่อตั้ง Foreign Policy Community of Indonesia (FPCI) ที่กล่าวเปิดงานโดยย้ำว่า “พลเมืองของเราจำนวนมากเกินไปยังคงรู้สึกว่าอาเซียนห่างไกลจากชีวิตประจำวันของพวกเขา” เขาเสนอทางออกที่ไปไกลกว่าการปรับปรุงนโยบาย แต่คือการสร้าง ‘ภูมิศาสตร์ภาคประชาสังคม’ (GeoCivics) ที่แข็งแกร่งขึ้น ซึ่งชี้ว่าการที่ภูมิภาคจะประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง ประชาชนต้องเชื่อมโยงถึงกันอย่างมีความหมาย
ดร.ดิโน แพตตี้ จาลัล
ผู้ก่อตั้ง Foreign Policy Community of Indonesia (FPCI)
ความต้องการเร่งด่วนที่จะเชื่อมช่องว่างระหว่างนโยบายและประชาชนนี้คือหัวใจสำคัญของงานประชุม แม้แต่ ดร.เกา กิม ฮอร์น เลขาธิการอาเซียน ยังก้าวข้ามภาษาทางการทูตที่คุ้นเคย ส่งสารถึงผู้คนผ่านวิดีโอว่า “สันติภาพไม่ใช่สิ่งที่เป็นนามธรรม… สันติภาพคือการที่พ่อแม่ส่งลูกไปโรงเรียนได้โดยไม่ต้องหวาดกลัว” เขาย้ำเตือนว่าทรัพยากรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอาเซียนคือประชาชน และเยาวชนไม่ใช่แค่ผู้นำในอนาคต แต่คือ ‘ผู้นำของวันนี้’
ดร.เกา กิม ฮอร์น เลขาธิการอาเซียน
จากหน้ากระดาษสู่ความจริง: คำสัญญาในกฎบัตรอาเซียน
ก่อนจะเข้าใจความรู้สึกแปลกแยกที่ประชาชนมีต่ออาเซียน เราอาจต้องย้อนดูเอกสารสำคัญที่สุดนั่นคือกฎบัตรอาเซียน (ASEAN Charter) ซึ่งเปรียบเสมือนรัฐธรรมนูญของภูมิภาคที่เริ่มต้นคำปรารภอย่างทรงพลังว่า “เรา ประชาชนแห่งรัฐสมาชิก…” ถ้อยคำเหล่านี้คือคำมั่นสัญญาแรกสุดที่ยืนยันว่าอาเซียนถูกสร้างขึ้นในนามของประชาชน
ในมาตรา 1 กฎบัตรได้ระบุเป้าหมายที่ยึดโยงกับผู้คนไว้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการบรรเทาความยากจนและลดช่องว่างการพัฒนา ส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐาน และที่สำคัญที่สุดคือส่งเสริมอาเซียนที่ยึดมั่นในประชาชน ซึ่งทุกภาคส่วนของสังคมได้รับการส่งเสริมให้มีส่วนร่วมและได้รับประโยชน์ นี่คือ ‘อาเซียนในอุดมคติ’ ที่ถูกเขียนไว้บนหน้ากระดาษ แต่กลับยังไม่ปรากฏเป็นจริงในความรู้สึกของพลเมืองส่วนใหญ่
เสียงสะท้อนจากเวที: เมื่อความจริงปรากฏ
เวทีเสวนา ‘อดีต ปัจจุบัน และอนาคต: การสร้างอาเซียนจากรากฐาน’ ที่ดิฉันดำเนินรายการ กลายเป็นพื้นที่วิเคราะห์กลไกของอาเซียนอย่างตรงไปตรงมา โจทย์ใหญ่คือวิสัยทัศน์ปี 2015 ที่ต้องการสร้าง ‘อาเซียนที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง’ นั้น ‘ยังห่างไกลจากความเป็นจริง’ เพราะประชาชนยังขาด ‘อัตลักษณ์อาเซียน’ และภาคประชาสังคมยังไม่ได้เชื่อมโยงกัน
เวทีเสวนา ‘อดีต ปัจจุบัน และอนาคต: การสร้างอาเซียนจากรากฐาน’
ผู้ร่วมเสวนาบนเวทีได้วิเคราะห์ปัญหานี้อย่างเฉียบคม เริ่มจากการวินิจฉัยปัญหาโดย ดร.มาร์ตี้ นาตาเลกาวา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอินโดนีเซีย ผู้เขียนหนังสือ Does ASEAN matter? ชี้ว่า ความเป็นศูนย์กลางที่แท้จริงของอาเซียนคือความเกี่ยวข้องต่อชีวิตประชาชน เขาย้ำว่าความสำเร็จของอาเซียนที่ผ่านมาส่วนใหญ่อยู่ในแวดวงรัฐบาลและนักการทูต แต่ประชาชนยังขาดความรู้สึกเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง เขาเสนอว่าความสำเร็จต้องวัดจากผลกระทบเชิงบวกที่นโยบายมีต่อชีวิตประจำวันและการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการตัดสินใจ เขามองว่าการหารือกับภาคประชาสังคมในปัจจุบันยังเป็นเพียงเรื่องเฉพาะกิจ และเรียกร้องให้การมีส่วนร่วมนี้ต้องถูกทำให้เป็น ‘กระแสหลัก’ ที่เป็นทางการมากขึ้น
ดร.มาร์ตี้ นาตาเลกาวา
อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอินโดนีเซีย
ดร.วิลเลียม ซาบันดาร์ ทูตพิเศษของเลขาธิการอาเซียนในช่วงปี 2009-2011 ฉายภาพให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมผ่านปัญหาค่าธุรกรรมที่สูงภายในภูมิภาคและคำถามที่ว่า “ใครร้องเพลงชาติอาเซียนได้บ้าง?” ซึ่งสะท้อนว่าประชาชนคือส่วนที่ขาดหายไปอย่างแท้จริง จากประสบการณ์ตรงในการช่วยเหลือเมียนมาหลังไซโคลนนาร์กิส เขาสรุปว่าอาเซียนจำเป็นต้องเป็น ‘อาเซียนที่ลงพื้นที่’ (ASEAN on the Ground) เพื่อสร้างความไว้วางใจและทำให้อัตลักษณ์อาเซียนมีความหมายต่อผู้คน
ดร.วิลเลียม ซาบันดาร์
ทูตพิเศษของเลขาธิการอาเซียนในช่วงปี 2009-2011
ดาตุ๊ก โปรเฟสเซอร์ ดร.โมฮด์ ฟาอิซ อับดุลลาห์ ประธานสถาบันยุทธศาสตร์และกิจการระหว่างประเทศ (ISIS) มาเลเซีย ย้ำว่า สิ่งที่อาเซียนขาดไปไม่ใช่สถาบันหรือโครงสร้าง แต่คือจิตวิญญาณที่จะขับเคลื่อนให้เกิดความเป็นเอกภาพอย่างแท้จริง เขาสัมผัสได้ถึงพลังของคนรุ่นใหม่ในงานนี้และเชื่อว่าจะเป็นกุญแจสำคัญ เขามองว่านวัตกรรมคือสิ่งจำเป็นสำหรับการปฏิรูปกลไกอาเซียน ซึ่งต้องมาจากคนรุ่นใหม่ที่สำคัญที่สุด เขาเรียกร้องให้คนหนุ่มสาวลุกขึ้นมาเชื่อมต่อถึงกันทั่วทั้งภูมิภาคและทำหน้าที่ตรวจสอบผู้นำของตนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อกำหนดอนาคตของตนเอง
ดาตุ๊ก โปรเฟสเซอร์ ดร.โมฮด์ ฟาอิซ อับดุลลาห์
ประธานสถาบันยุทธศาสตร์และกิจการระหว่างประเทศ (ISIS) มาเลเซีย
ในฐานะตัวแทนของคนรุ่นใหม่ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล นำเสนอแนวทางที่ชัดเจนและปฏิบัติได้จริง เพื่อเชื่อมโยงอาเซียนเข้ากับคนหนุ่มสาวที่รู้สึกแปลกแยก เขายืนยันว่าอาเซียนต้องการสองสิ่งอย่างเร่งด่วนนั่นคือ ความเกี่ยวข้องและความน่าเชื่อถือ
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้เขาได้เสนอแนวคิดชัยชนะที่ได้มาอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นนโยบายที่จับต้องได้และส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตประจำวันของประชาชน เช่น การออกกฎหมายอากาศสะอาดระดับภูมิภาค เพื่อจัดการปัญหาฝุ่นควันข้ามแดน การจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจร่วมกันเพื่อปราบปรามขบวนการหลอกลวงทางไซเบอร์ และการเปลี่ยนฉันทมติ 5 ข้อว่าด้วยเรื่องเมียนมาที่หยุดนิ่งให้กลายเป็นแผนงาน 5 ปีที่มีเป้าหมายด้านมนุษยธรรมที่ชัดเจน
เขามองว่าข้อเสนอเหล่านี้ไม่ใช่เกมการเมืองระดับสูง แต่เป็นทางออกสำหรับปัญหาที่ไร้พรมแดนซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของคนธรรมดาทั่วทั้งภูมิภาคโดยตรง
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล
บททดสอบที่รออยู่เบื้องหน้า
พลังงานอันเปี่ยมล้นจากจาการ์ตากำลังจะถูกทดสอบในไม่ช้าที่การประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 47 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งวาระได้ถูกดึงดูดเข้าหาประชาชนอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง โดยเฉพาะความตึงเครียดระหว่างไทยและกัมพูชา แม้ไทยอาจต้องการคงการหารือในระดับทวิภาคี แต่เมื่อประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ คาดว่าจะมาเป็นสักขีพยานในการลงนามข้อตกลงสันติภาพ ประเด็นนี้ก็จะกลายเป็นที่สนใจของทั่วโลก
ยิ่งไปกว่านั้นปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์กลายเป็นภัยคุกคามร่วมกันอันดับต้นๆ ของภูมิภาค ซึ่งถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นหนึ่งในเงื่อนไขของฝ่ายไทยในการเจรจาสันติภาพ นี่คืออาชญากรรมข้ามชาติที่ทำร้ายผู้คนนับล้าน
ณัฏฐา โกมลวาทิน ผู้อำนวยการฝ่ายข่าว THE STANDARD
การที่ผู้นำจะรับมือกับปัญหานี้อย่างไร จะเป็นบทพิสูจน์ที่แท้จริงถึงความเป็นเอกภาพของอาเซียน และเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าพวกเขาพร้อมที่จะแก้ปัญหาที่หยั่งรากลึกในชีวิตของประชาชนได้หรือไม่