ปี 2024 ถือเป็นอีกหนึ่งปีที่คอเกมทั่วโลกได้ชมภาพยนตร์และซีรีส์ที่ดัดแปลงจากวิดีโอเกมชื่อดังกันอย่างเต็มอิ่ม ไม่ว่าจะเป็น Borderlands ที่ได้นักแสดงมากฝีมืออย่าง Cate Blanchett, Kevin Hart, Jamie Lee Curtis และ Jack Black มาร่วมรับบทนำ, Knuckles ซีรีส์ภาคแยกจากภาพยนตร์ชุด Sonic the Hedgehog, Fallout ซีรีส์แนวโลกล่มสลาย ดัดแปลงจากแฟรนไชส์วิดีโอเกมในชื่อเดียวกันที่ได้เสียงวิจารณ์ที่ดีจากทั้งนักวิจารณ์และผู้ชม
ในที่สุดก็มาถึงคิวของ Arcane Season 2 ซีรีส์แอนิเมชันดัดแปลงจากเกมยอดฮิตอย่าง League of Legends จากค่าย Riot Games ที่จะพาผู้ชมไปติดตามบทสรุปของสองพี่น้องต่างขั้วและเหล่าตัวละครที่ทุกคนหลงรัก หลังจากซีซันแรกสามารถคว้าใจนักวิจารณ์และผู้ชมไปได้อย่างอยู่หมัด พร้อมกับคว้ารางวัล Emmy Awards สาขา Outstanding Animated Program มาได้สำเร็จ โดยในซีซันสุดท้ายยังคงได้ Christian Linke และ Alex Yee กลับมาดูแลในตำแหน่งผู้สร้างและเขียนบทร่วม พร้อมทีมแอนิเมเตอร์จาก Fortiche Production มารับหน้าที่สร้างสรรค์งานภาพสุดบ้าคลั่งเช่นเดิม
ผู้เขียนเคยมีประสบการณ์เล่นเกม League of Legends มาบ้าง เคยหยิบสองตัวละครหลักของซีรีส์อย่าง Vi และ Jinx มาลองเล่นอยู่บางครั้ง แต่ก็ห่างหายจากเกมนี้ไปนานหลายปี (น่าจะก่อนที่ Riot Games เปิดตัวเกิร์ลกรุ๊ป K/DA) เราจึงขอวางตัวเองเป็นหนึ่งในผู้ชมทั่วไปที่ไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องราวของตัวละครและโลก Runeterra จากเกมต้นฉบับมาก่อน
ซึ่งจุดเด่นสำคัญที่ซีรีส์ Arcane นำเสนอได้ดีและแข็งแรงมาตั้งแต่ซีซันแรก คือความสัมพันธ์ของเหล่าตัวละครหลักที่เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเรื่องราวทั้งหมด ทั้งความสัมพันธ์พี่น้องที่ทั้งรักทั้งชังของ Vi (Hailee Steinfeld) และ Jinx (Ella Purnell) การพยายามพิสูจน์ตัวเองให้ทุกคนยอมรับในความสามารถของ Caitlyn (Katie Leung) ความมุ่งมั่นในการพัฒนา Hextech ที่รายล้อมไปด้วยเกมการเมืองของสองคู่หูนักประดิษฐ์ Jayce (Kevin Alejandro) และ Viktor (Harry Lloyd) ฯลฯ
เรื่องราวและความรู้สึกของตัวละครที่เข้าถึงผู้ชมได้ไม่ยากเหล่านี้ จึงทำหน้าที่จูงมือผู้ชมก้าวเข้าสู่อาณาจักร Piltover, Zaun และโลก Runeterra ทีละก้าว จนเราไม่อาจถอนตัวกลับและอยากจะสำรวจโลกที่ตัวละครเหล่านี้อาศัยอยู่ให้มากขึ้น แม้ว่าเราจะไม่ได้เป็นแฟนเกมต้นฉบับมาก่อนก็ตาม
มาถึงซีซันสุดท้าย ความสัมพันธ์ของตัวละครยังคงเป็นแกนหลักสำคัญที่ถูกนำเสนอได้น่าสนใจเช่นเดิม แต่คราวนี้เราจะได้ถลำลึกลงไปสำรวจชีวิตและความรู้สึกของพวกเขาที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างก้าวกระโดด ทั้ง Jinx ที่ตอนแรกเธอมีเพียง Silco (Jason Spisak) ที่เชื่อมั่นและโอบรับตัวตนของเธอทั้งหมด แต่ตอนนี้เธอกลับกลายเป็น ‘สัญลักษณ์’ ที่มอบความกล้าและความหวังแก่ผู้คนชาว Zaun ในการต่อสู้กับชาว Piltover รวมถึงการได้เจอกับ Isha (Lucy Lowe) ที่ทำให้เธอเผยแง่มุม ‘อ่อนโยน’ ให้เราเห็น ซึ่งเชื่อว่าแม้แต่เธอเองก็คงคิดไม่ถึงว่าตัวเองจะมีมุมนี้เช่นกัน
Caitlyn จากเดิมที่เธอพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อพิสูจน์ตัวเอง แต่หลังจากเผชิญหน้ากับความสูญเสีย เธอกลับถูกความแค้นครอบงำจนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน หรือ Viktor ที่พยายามค้นหาวิธีรักษาโรคร้ายของตนเอง จนได้มาพบหนทางหยุดยั้งทุกความขัดแย้งและเปลี่ยนให้เขากลายเป็นเหมือนพระเจ้า
ขณะเดียวกัน เราก็ได้ทำความรู้จักแง่มุมของตัวละครอื่นๆ ที่ซีซันแรกไม่ได้เผยให้เราเห็นมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะ Ekko (Reed Shannon) พ่อหนุ่มนักประดิษฐ์ที่พยายามหาทางช่วยเหลือผู้คนในชุมชนเล็กๆ จนเหตุการณ์ต่างๆ พาเราไปสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างเขาและ Jinx ผ่านอีกจักรวาลหนึ่งที่ทั้งคู่ไม่จำเป็นต้องหันอาวุธเข้าหากัน รวมถึง Heimerdinger (Mick Wingert) หลังจากที่ถูกขับออกจากตำแหน่งสมาชิกสภา ก็ดูเหมือนว่าเขาจะได้กลับมาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและสนุกสนานอีกครั้ง โดยไม่ต้องระแวดระวังเรื่องเกมการเมืองอย่างที่เคย (เราจึงไม่แปลกใจนักที่เขาตัดสินใจเสียสละตัวเองเพื่อช่วยเหลือ Ekko)
ส่วนตัวละครที่มีความเปลี่ยนแปลงน้อยที่สุดเห็นจะเป็น Vi แม้ชีวิตของเธอจะเป๋ หลงทิศทางไปบ้างในบางคราว แต่เธอก็ยังคงยึดมั่นในสิ่งที่เธอเชื่อ แม้ Jinx จะเปลี่ยนแปลงไปขนาดไหน เธอก็ยังเชื่อว่าน้องสาวในวัยเด็กยังคงอยู่ในตัวของ Jinx และพร้อมจะปกป้องน้องสาวของตัวเองเสมอ หรือ Caitlyn ที่แม้สถานการณ์มากมายจะบีบบังคับให้ทั้งคู่ผิดใจกัน แต่ท้ายที่สุด Caitlyn ก็ยังคงเป็น Cupcake ของ Vi ที่เธอพร้อมจะคอยยืนเคียงข้าง รวมถึง Vander (JB Blanc) ที่ไม่ว่าร่างกายของเขาจะเปลี่ยนไปขนาดไหน เขาก็ยังคงเป็นพ่อที่เธอรักไม่เปลี่ยนแปลง
ซึ่งทุกการกระทำของ Vi ก็สะท้อนให้เราเห็นว่าเธอยังคงยึดมั่นและทำตามคำพูดสุดท้ายของ Vander ผู้เป็นพ่อที่กล่าวกับเธอว่า
“เธอมีจิตใจที่ดี อย่าเสียมันไป ไม่ว่าโลกจะทำร้ายเธอแค่ไหน ปกป้องครอบครัวด้วย”
ซึ่งนอกจากงานภาพที่ทั้งงดงามและบ้าคลั่ง Arcane ยังมาพร้อมกับท่วงท่าการเล่าเรื่องอันแพรวพราวที่ช่วยผลักดันให้เรื่องราวของตัวละครทรงพลังและเข้าถึงใจผู้ชมมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นดนตรีและเพลงประกอบที่เข้ามาช่วยกำหนดจังหวะและปลุกเร้าอารมณ์ของผู้ชม การออกแบบมุมกล้องที่หลากหลาย โดยเฉพาะตอนที่ 9 กับฉากการปรากฏตัวของ Ekko ที่ทำให้เราเผลอคิดว่าเขาคือพระเอกของเรื่อง ไปจนถึงการลำดับเรื่องราวในแต่ละองก์ที่เลือกปกปิด-เปิดเผยปมปัญหาต่างๆ อย่างถูกที่ถูกเวลา
ไม่น่าเชื่อว่าซีรีส์แอนิเมชันความยาว 2 ซีซัน 18 ตอน และยังอัดแน่นไปด้วยตัวละครที่น่าจดจำมากมาย จะทำให้เราผูกพันและหลงรักพวกเขาอย่างหมดใจได้ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเราทุกคนต่างมีบางพาร์ตในชีวิตที่เชื่อมโยงกับตัวละครเหล่านี้ได้ไม่มากก็น้อย
บางคนอาจเคยพยายามทำทุกอย่างให้ดี แต่ก็มักจะผิดพลาดอยู่บ่อยครั้ง จนถูกคนรอบข้างปฏิเสธคล้ายกับ Jinx บางคนอาจเคยต้องเผชิญกับการสูญเสียและยังต้องพยายามแสดงออกว่าตัวเองเข้มแข็ง แต่ภายในกลับแหลกสลายและต้องการอ้อมกอดจากใครบางคนแบบเดียวกับ Caitlyn บางคนอาจเคยวาดฝันถึงชีวิตของตัวเองในอีกจักรวาลหนึ่งที่ทุกอย่างดูจะเป็นไปอย่างที่หวัง แต่ท้ายที่สุดก็ต้องปลุกตัวเองให้ตื่นขึ้นมาเผชิญหน้ากับความจริงอีกครั้งเช่นเดียวกับ Ekko หรือบางคนอาจเคยมุ่งมั่นตั้งใจและทุ่มเททุกสิ่งอย่างเพื่อสร้างสรรค์บางสิ่งขึ้นมาให้สำเร็จ แต่ในท้ายที่สุดผลลัพธ์ของมันกลับไม่ได้เป็นไปอย่างที่เราตั้งใจแบบเดียวกับ Jayce ฯลฯ
มองอีกมุมหนึ่ง สิ่งเหล่านี้ก็สะท้อนให้เห็นว่า Arcane ไม่ได้เป็นแค่ซีรีส์ดัดแปลงจากเกมที่มีงานภาพเปี่ยมจินตนาการและฉากแอ็กชันสุดบ้าคลั่งเท่านั้น แต่ยังเป็นอีกหนึ่งแอนิเมชันเรื่องเยี่ยมที่กำลังสะกิดบอกกับผู้ชมผ่านเรื่องราวของตัวละครเหล่านี้ว่า เราต่างมีบาดแผลมากมายที่ไม่อาจลบออกไปจากจิตใจได้ บางแผลเกิดจากฝีมือของเราเอง บางแผลก็เกิดจากโลกสีเทาๆ ที่คอยโบยตีเราอย่างไร้ปรานี จนหลายครั้งมันก็ทำให้เราไขว้เขวและหลงทาง และสิ่งที่เราพอจะทำได้เพื่อเยียวยาบาดแผลเหล่านั้นคงเป็นการเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน
และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ขอจงอย่าสูญเสีย ‘จิตใจที่ดี’ ไป
สามารถรับชมซีรีส์ Arcane ทั้งสองซีซันได้แล้ววันนี้ทาง Netflix
รับชมตัวอย่างได้ที่: www.youtube.com/watch?v=X7JUhmNpJtw&t=2s
ภาพ: Netflix