มหากาพย์ใหม่ทางการเมืองที่ดูยังคงติดอยู่กับพล็อตเดิมเรื่องการใช้ข้อหาคอร์รัปชันไล่เช็กบิลคู่แข่งทางการเมืองได้ปรากฏเค้าให้เห็นกันชัดยิ่งขึ้นในมาเลเซีย หลังอดีตนายกรัฐมนตรีมูห์ยิดดิน ยัสซิน หัวหน้าพรรค Bersatu และผู้นำแนวร่วมฝ่ายค้านที่เรียกตัวเองว่า Perikatan Nasional หรือ PN ถูกทางการตั้งข้อหาเรื่องการใช้อำนาจโดยมิชอบขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และการฟอกเงิน ซึ่งพัวพันกองทุน Jana Wibawa ที่เขาตั้งขึ้นเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจช่วงโควิด รวมกันถึง 6 คดีเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2023
ถ้าศาลพิพากษาว่ามีความผิด มูห์ยิดดินอาจได้รับโทษจำคุกยาวนานถึง 20 ปี แถมมีแนวโน้มต้องชดใช้เงินนับพันล้านริงกิต หรือกว่า 8.5 พันล้านบาท (5 เท่าของสินบนจำนวน 232.5 ล้านริงกิตตามที่ถูกกล่าวหา) ซึ่งต้องจับตาดูกันต่อไปว่ามูห์ยิดดินจะออกจากตำแหน่งผู้นำพรรค Bersatu และผู้นำฝ่ายค้านตามแนวทางที่ตนเป็นผู้วางเอาไว้ เพื่อหวังสร้างเป็นแนวปฏิบัติบรรทัดฐานทางการเมืองให้แก่พรรคอื่นหรือไม่
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ทำให้มูห์ยิดดินกลายเป็นอดีตผู้นำประเทศคนที่ 2 ที่ถูกฟ้องร้องต่อจากนาจิบ ราซัค อดีตนายกรัฐมนตรี (ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีระหว่างปี 2009-2018) และยังเป็นอดีตผู้นำพรรค United Malays National Organization หรือ UMNO ที่ถูกฟ้องร้องในคดียักษ์ระดับชาติในกองทุน 1Malaysia Development Berhad หรือ 1MDB ที่ตนเองเป็นผู้ตั้งขึ้น คดีดังกล่าวนอกจากจะสร้างความเสียหายต่อประเทศนับพันล้านริงกิตแล้ว การสืบสวนในคดีนี้ยังมีหน่วยงานในหลายประเทศเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ และสวิตเซอร์แลนด์ จากคดี 1MDB นาจิบถูกตั้งข้อกล่าวหาถึง 42 คดี และยังเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีคนแรกที่ศาลมีคำสั่งจำคุก 12 ปี ในคดีเกี่ยวกับการคอร์รัปชัน
แม้การเดินเครื่องกวาดล้างปัญหาคอร์รัปชันและปฏิรูปการเมืองจะเป็นหนึ่งในคำมั่นสัญญาสำคัญที่อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรี และผู้นำกลุ่มพันธมิตร Pakatan Harapan หรือ PH ได้เคยให้ไว้ในช่วงการหาเสียงเลือกตั้งเมื่อปลายปี 2022 ทั้งยังเป็นความต้องการของรัฐบาลที่จะสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนต่างชาติและมุ่งสร้างธรรมาภิบาลให้เกิดขึ้น และปัญหาเดียวกันนี้ที่ประชาชนมาเลเซียล้วนต้องการให้รัฐบาลชุดใหม่เข้ามาจัดการแก้ไขอย่างจริงจัง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัญหาการคอร์รัปชันถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองของฝ่ายรัฐบาลที่ต้องการทำลายฝ่ายตรงข้ามให้สิ้นซากแบบถอนรากถอนโคน เหมือนอย่างที่เคยเกิดขึ้นในสมัยที่ PH เป็นรัฐบาลในช่วงปี 2018-2020 ซึ่งขณะนั้นมีมหาเธร์ โมฮัมหมัด นั่งในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
หนึ่งในความมุ่งมาดของมหาเธร์หลังก้าวลงจากตำแหน่งผู้นำประเทศเมื่อปี 2003 ที่ทำให้ถึงกับต้องโบกมือลาจากพรรค UMNO ที่ตนเองเคยอยู่มาหลายทศวรรษ และหันมาจับมือกับอดีตศัตรูคนสำคัญอย่างอันวาร์ เพื่อทำภารกิจใหญ่คือการโค่นล้มนาจิบ ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ความร่วมมือระหว่างมหาเธร์และอันวาร์กลายเป็นชัยชนะในการเลือกตั้งปี 2018 อย่างหักปากกาเซียนทุกสำนัก เมื่อได้หวนคืนสู่อำนาจอีกครั้ง มหาเธร์ก็ประกาศปฏิรูปการเมืองที่ครอบคลุมถึงการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชัน ทำให้คดี 1MDB ถูกนำกลับมาสอบสวนใหม่ จนทำให้นาจิบต้องถูกตัดสิทธิในการลงสมัครรับเลือกตั้งและถูกพิพากษาจำคุกในเวลาต่อมา
สิ่งหนึ่งที่เป็นบทเรียนสำคัญจากเหตุการณ์ครั้งนั้นคือ การชูประเด็นปัญหาคอร์รัปชัน 1MDB ที่มหาเธร์นำมาใช้ในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งได้รับการตอบรับจากประชาชนอย่างล้นหลาม จนส่งผลให้พรรค UMNO ต้องพบกับความพ่ายแพ้อย่างที่ไม่มีใครคาดคิด และยังเป็นจุดสิ้นสุดของการผูกขาดอำนาจในการจัดตั้งรัฐบาลที่ยาวนานกว่า 61 ปี ทั้งยังถูกตีตราว่าเป็นพรรคแห่งการคอร์รัปชัน ซ้ำร้ายคดีอื้อฉาวนี้ยังทำให้พรรค UMNO ต้องพ่ายแพ้อย่างหมดท่าในการเลือกตั้งปี 2022 อีกด้วย
ก่อนหน้านี้แม้จะเห็นท่าทีค่อนข้างชัดเจนและเปิดเผยของนายกรัฐมนตรีอันวาร์ที่จะกำจัดคู่แข่งทางการเมืองคนสำคัญอย่างมูห์ยิดดินก็ตาม หากที่จริงแล้วสัญญาณการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์สกัดกั้นฝ่ายค้านของอันวาร์ได้ถูกส่งออกมาหลังจากอันวาร์ประกาศเดินหน้าทบทวนโครงการที่เคยทำไว้ในสมัยรัฐบาลมูห์ยิดดิน ซึ่งรวมถึงโครงการ 5G และโครงการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม คิดเป็นมูลค่ารวมกันถึง 7 พันล้านริงกิต และนำมาสู่การฟ้องร้องสมาชิก 2 คนสำคัญในพรรค Bersatu ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการคอร์รัปชันในโครงการ Jana Wibawa อีกทั้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตมาเลเซีย (Malaysian Anti-Corruption Commission: MACC) ได้อายัดบัญชีของพรรค Bersatu นับตั้งแต่เดือนมกราคมเป็นต้นมา เพราะบัญชีของพรรคเกี่ยวข้องกับมูห์ยิดดิน และถูกนำมาใช้ในการยักยอกเงินจำนวน 600 พันล้านริงกิตจากกองทุนที่นำมาใช้เยียวยาปัญหาโควิด
แม้การดำเนินคดีกับมูห์ยิดดินในครั้งนี้จะสร้างความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลในการกวาดล้างคอร์รัปชันได้อย่างมากก็ตาม หากแต่การกระทำของอันวาร์กลับสะท้อนให้เห็นถึงการเลือกปฏิบัติระหว่างฝ่ายมูห์ยิดดินและพรรค UMNO ที่เป็นฝ่ายของรัฐบาลอย่างชัดเจน เพราะดูเหมือนว่ารัฐบาลตั้งใจจะพักการสืบสวนในอภิโครงการ Littoral Combat Ship หรือ LCS Project ซึ่งเป็นโครงการจัดซื้อจัดจ้างของกระทรวงกลาโหมที่มีจำนวนเงินมากที่สุดในประวัติศาสตร์มาเลเซีย มีมูลค่าถึง 9 พันล้านริงกิต ทั้งที่อันวาร์ได้เคยกล่าวไว้ในช่วงเป็นผู้นำฝ่ายค้านว่า โครงการ LCS นี้มีความเกี่ยวข้องกับการคอร์รัปชันขนาดใหญ่ และเรียกร้องให้ MACC เข้าดำเนินการสอบสวนผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด ซึ่งรวมถึงซาฮิด ฮามิดี ที่ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี หากจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่ปรากฏการปฏิรูปการจัดซื้อจัดจ้างของกระทรวงกลาโหมแต่อย่างใด ซ้ำซาฮิดยังคงนั่งเป็นผู้นำประเทศลำดับที่ 2 รองจากอันวาร์ ทั้งที่มีถึง 47 ข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการยักยอกเงินจากกองทุนที่ซาฮิดเป็นคนตั้งขึ้น
อย่างไรก็ดี สิ่งที่เกิดกับพรรค Bersatu คาดว่าจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อโครงสร้างอำนาจทางการเมืองของประเทศที่มี 2 กลุ่มพันธมิตรใหญ่ขับเคี่ยวกัน นั่นคือ กลุ่ม PH ที่นำโดยอันวาร์ และกลุ่ม PN นำโดยมูห์ยิดดิน ซึ่งผลการเลือกตั้งในปี 2022 ปรากฏว่าไม่มีฝ่ายใดเป็นผู้ชนะอย่างขาดลอย เพราะกลุ่ม PH ได้ 82 ที่นั่ง และกลุ่ม PN ได้ 73 ที่นั่ง หากอันวาร์กลับสามารถดึงพรรค UMNO ที่เป็นฝ่ายตรงข้ามกับตนมาร่วมจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามูห์ยิดดินจะทิ้งความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง อย่างไรก็ดี หลังการเลือกตั้งปรากฏว่าพันธมิตรฝ่ายค้านที่มีมูห์ยิดดินเป็นผู้นำกำลังได้รับคะแนนความนิยมเพิ่มมากขึ้น เพราะชาวมลายูที่เคยสนับสนุนพรรค UMNO มีท่าทีว่าจะหันมาสนับสนุนกลุ่ม PN แทน หลังจากพรรค UMNO สร้างความผิดหวังให้แก่คนกลุ่มนี้เมื่อจับมือจัดตั้งรัฐบาลกับอันวาร์ ในทางตรงกันข้าม ผลงานการบริหารงานในช่วง 100 วันที่ผ่านมาของรัฐบาลอันวาร์ยังผลิดอกออกผลยังไม่เต็มที่นัก ซ้ำความเป็นเอกภาพระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลก็ส่อเค้าให้เห็นถึงความอ่อนแอและเปราะบาง ยังไม่นับรวมถึงพรรคร่วมสำคัญอย่าง UMNO ที่มีภาพลักษณ์ด่างพร้อย อีกทั้งการเลือกตั้งในระดับรัฐก็กำลังจะมีขึ้นในช่วงหลังกลางปีนี้
ที่สำคัญกว่านั้น การเลือกตั้งในระดับรัฐนี้ยังเป็นสนามทดสอบความนิยมของรัฐบาลอันวาร์โดยเฉพาะในกลุ่มชาวมุสลิมอีกด้วย ดังนั้นแล้วปฏิบัติการกำจัดมูห์ยิดดิน และการแช่แข็งบัญชีของพรรค Bersatu จะส่งผลกระทบต่อการแข่งขันเลือกตั้งใน 6 รัฐที่กำลังจะมีขึ้นอย่างแน่นอน ทั้งยังพอจะคาดเดาได้ว่าประเด็นที่ฝ่าย PH และ UMNO จะนำมาใช้โจมตีฝ่าย PN ในการหาเสียงเลือกตั้งในระดับรัฐคงหนีไม่พ้นเรื่องคอร์รัปชัน
ในขณะเดียวกันฝ่าย PN คาดว่าจะชูภาพความลักลั่นของรัฐบาลอันวาร์กับการเลือกจัดการปัญหาคอร์รัปชัน โดยเฉพาะเมื่อเกี่ยวข้องกับผู้นำพรรค UMNO และความล่าช้าในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและปัญหาปากท้องมาใช้ต่อสู้ อย่างไรก็ดียุทธศาสตร์นี้ของอันวาร์อาจจะส่งผลตามที่คาดหวังให้ประชาชนมองฝ่าย PN ว่าแปดเปื้อนกับคอร์รัปชันเหมือนกับพรรค UMNO แต่ในขณะเดียวกันอาจเกิดกระแสตีกลับถึงการเลือกปฏิบัติของอันวาร์ก็เป็นได้
ท้ายที่สุดแล้วอันวาร์คงต้องทำทุกวิถีทางที่จะยื้อเก้าอี้นายกรัฐมนตรีและรักษาพรรคร่วมรัฐบาลไว้ให้นานที่สุดพร้อมกับจัดการกับฝ่ายตรงข้าม ซึ่งมูห์ยิดดินคงไม่ใช่หมากตัวสุดท้ายที่จะถูกดำเนินคดีเกี่ยวกับการคอร์รัปชัน หากแต่คงได้เห็นการกวาดล้างบุคคลสำคัญอีกหลายคนในฝ่าย PN ตามรอยมูห์ยิดดินในไม่ช้า แต่ทั้งนี้คงไม่อาจมองข้ามความจริงได้ว่า อย่างไรเสียพรรค UMNO ก็ยังคงเป็นตัวแปรสำคัญต่อการคงอยู่ของรัฐบาลชุดนี้ หากมีการเปลี่ยนแปลงในตำแหน่งสำคัญของผู้นำพรรค ก็จะส่งแรงสั่นสะเทือนอย่างมากต่อเสถียรภาพของรัฐบาล เพราะแม้พรรค UMNO จะดูเหมือนเป็นอุปสรรคชิ้นใหญ่ของรัฐบาลในการขับเคลื่อนนโยบายหลายด้านก็ตาม หากแต่อันวาร์ยังคงต้องอาศัยพรรค UMNO เรียกคะแนนความนิยมจากชาวมุสลิม และใช้สร้างภาพพรรคร่วมรัฐบาลที่มีความหลากหลายของกลุ่มชาติพันธุ์ ดังนั้นการที่ซาฮิดยังคงเป็นผู้นำ UMNO จนถึงกลางปีนี้ ก็พอจะทำให้อันวาร์มีเวลาหายใจและเตรียมพร้อมรับมือต่อความท้าทายใหม่ที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
- ในวันที่ 13 มีนาคม คาดว่ามูห์ยิดดินจะถูกตั้งข้อหาเพิ่มอีก 1 คดี
- มูห์ยิดดินถูกฟ้อง 4 คดี เป็นคดีเกี่ยวกับการใช้อำนาจโดยมิชอบ มีโทษจำคุกถึง 20 ปี และอีก 2 คดี เกี่ยวกับการฟอกเงิน มีโทษจำคุกสูงสุด 15 ปี
- ซาฮิดเป็นผู้ริเริ่มโครงการ LCS ในขณะที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมในยุครัฐบาลนาจิบ