สงครามจบลงแล้ว และนับจากนี้ไป การต่อสู้ที่แท้จริงได้เริ่มต้นขึ้น
สุภาษิตอัฟกานิสถาน
เรากำลังอยู่ในช่วงเวลาของความไม่แน่นอนทางยุทธศาสตร์อย่างใหญ่หลวง
David Barno and Nora Bensahel
Adaptation under Fire (2020)
กล่าวนำ
ถ้าเปรียบเทียบการต่อสู้และการแข่งขันทางการเมืองในการจัดตั้งรัฐบาลแล้ว เราอาจเปรียบได้กับการทำ ‘สงคราม’ ระหว่างกลุ่มการเมืองที่นำโดยพรรคเพื่อไทย กับกลุ่มที่นำโดยพรรคภูมิใจไทย และแทนด้วยสี คือ สงครามระหว่าง ‘แดง Vs. น้ำเงิน’
แน่นอน การต่อสู้ในการชิงตำแหน่งแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลนั้น เป็นการต่อสู้ที่เข้มข้น และขับเคี่ยวในทุกรูปแบบเสมอ จนชวนให้ทุกคนที่แม้จะไม่ใช่ ‘คอการเมือง’ โดยตรง ก็อดที่จะต้องติดตามข่าวการเมืองอย่างใกล้ชิดไม่ได้ และ ‘รอลุ้น’ อย่างมากไปด้วยว่า แล้วใครจะก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปของประเทศไทย
ในที่สุด การจัดตั้งรัฐบาลก็สำเร็จ และไม่ได้เกินความคาดหมายแต่อย่างใด แม้จะมีข้อโต้แย้งเรื่องอำนาจในการยุบสภา ตลอดจนเสียงวิจารณ์ในประเด็นต่างๆ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลใหม่ก็เกิดขึ้นอย่างไม่ผิดคาดเท่าใดนัก เพราะเสียงที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทยแตกออกไปอย่างชัดเจน จนเกิดภาพว่า รัฐบาลผสมของพรรคเพื่อไทยเกิดสภาวะ ‘แพแตก’ และพรรคเพื่อไทยในภาษาทางทหารคือ อยู่ในสภาวะที่ไม่สามารถ ‘ยึดกุมความริเริ่ม’ ในสนามรบทางการเมืองครั้งนี้ได้อีกต่อไป
สุดท้ายแล้ว ชัยชนะใน ‘สงครามการเมือง’ ตกเป็นของพรรคภูมิใจไทย ส่งผลให้ อนุทิน ชาญวีรกุล ก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของประเทศไทยในวันที่ 7 กันยายน 2568 (เป็นวันเดียวกับที่นายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะ ของญี่ปุ่นลาออก)
หากการกำเนิดของรัฐบาลในครั้งนี้ ดูจะมีเงื่อนไขทางสังคมการเมืองเป็นปัจจัยคู่ขนาน และชวนให้ต้องพิจารณาถึงผลที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะในมิติด้านความมั่นคง ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นปัญหาต่างๆ
อย่างไรก็ตาม ชัยชนะทางการเมืองของพรรคภูมิใจไทยครั้งนี้ ทำให้อดนึกถึงสุภาษิตอัฟกานิสถานไม่ได้…สงครามที่รบกันกับพรรคเพื่อไทยจบลงแล้ว และการต่อสู้แท้จริงที่พรรคภูมิใจไทยต้องสู้ในเวทีการเมือง ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว หรืออาจกล่าวได้ว่า จากนี้ไปรัฐบาลผสมของพรรคภูมิใจไทยจะเป็น ‘เป้าหมาย’ การโจมตีจากคู่ต่อสู้ทางการเมืองอีกฝ่ายเช่นที่เกิดในสงคราม
Shuttle Politics: การเมืองกับการตั้งรัฐบาลใหม่
นักเรียนรัฐศาสตร์ในสาขาการเมืองระหว่างประเทศรู้จักคำว่า ‘Shuttle Diplomacy’ หรือที่บางคนแปลว่า ‘การทูตแบบกระสวย’ เป็นอย่างดี ซึ่งหมายถึงบทบาทของผู้เจรจาที่เดินทางไปมาระหว่างประเทศเป้าหมายที่เป็นคู่ขัดแย้ง เพื่อทำให้การเจรจากับผู้นำประเทศดังกล่าว ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ และเป็นการเจรจาแบบแยกฝ่าย เพื่อให้เกิดความง่ายในการเจรจา
คำอธิบายทางการทูตเช่นนี้ อาจนำมาอรรถาธิบายถึงสภาวะของการเมืองไทยในช่วงการจัดตั้งรัฐบาลที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี เนื่องจากการเมืองมีสภาพเป็น ‘สามก๊ก’ อย่างชัดเจน จากคะแนนของ สส. ที่แต่ละฝ่ายมีในมือหลังจากการรวบรวมเสียงในการจัดตั้งรัฐบาลแล้ว สภาวะ ‘สามก๊ก’ จึงบังคับให้เกิดการต้องผลักดัน (เขี่ย) ฝ่ายหนึ่งออกไป และพึ่งพาอีกฝ่ายหนึ่งในการจัดตั้งรัฐบาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย และถึงจะรวบรวมเสียงได้ในมือได้มากที่สุด แต่ก็มีความเสี่ยงในตัวเอง เพราะการเมืองในระบบรัฐสภาอาศัย ‘เสียงจากจำนวนมือ’ เป็นตัวชี้ขาดชัยชนะในระบบรัฐสภา
สภาวะเช่นนี้ จึงทำให้สังคมไทยได้เห็นถึง ‘การเมืองแบบกระสวย’ หรืออาจเรียกว่าเป็น ‘Shuttle Politics’ ที่มีปรากฏการณ์ของ ‘การวิ่งไปมา’ เพื่อขอเสียงในการจัดตั้งรัฐบาลของฝ่ายตน…การวิ่งไปมาในแต่ละวันของนักการเมืองที่ปรากฏเป็นภาพข่าวนั้น บางครั้งก็ดูจะเป็นการสร้าง ‘ความหดหู่ใจ’ ให้กับประชาชนอย่างมาก เพราะสร้างความรู้สึกกับสังคมด้วยมุมมองในทำนองว่า นักการเมืองทั้งหมดสนใจอยู่อย่างมากกับปัญหาเรื่อง ‘ความมั่นคงทางการเมือง’ ในการจัดตั้งรัฐบาลสำหรับพวกเขา
อย่างไรก็ตาม ที่เป็นเช่นนี้อาจเป็นเพราะ นักการเมืองไม่ว่าจะมาจากฝ่ายไหนก็ตาม มีชีวิตอยู่กับปัญหาหลักเพียง 2 ประการ คือ ‘ตั้งรัฐบาลและล้มรัฐบาล’ จนบางทีเราอาจต้องยอมรับความจริงว่า การตั้งรัฐบาลและการล้มรัฐบาลเป็น ‘วัฏจักร’ ของชีวิตทางการเมืองของพวกเขา และพวกเขาทั้งหมดล้วนได้ประโยชน์จากวัฏจักรนี้ ไม่แตกต่างกัน
สภาวะเช่นนี้ ทำให้ผู้คนในสังคมมีคำถามอย่างมากว่า แล้วประเทศและประชาชนอยู่ตรงไหนใน ‘สมการการเมือง’ ของการจัดตั้งรัฐบาล ว่าที่จริงแล้ว การจัดตั้งรัฐบาลที่ผ่านๆ มา ก็มีคำถามเช่นนี้ไม่แตกต่างกัน จนทำให้เกิดความรู้สึกว่า ประชาชนดูจะอยู่ใน ‘สมการ’ ของนักการเมืองในยามเลือกตั้งเท่านั้นหรือ แต่ครั้งนี้ ความรู้สึกทางลบของสังคมต่อนักการเมืองดูจะมีมากขึ้น เพราะสภาวะของชีวิตผู้คนโดยทั่วไป อยู่ในความลำบากทั้งทางเศรษฐกิจและการดำรงชีพ
ชัยชนะในสงครามการเมืองของพรรคภูมิใจไทย จึงเป็นดั่ง ‘ทุกขลาภใหญ่’ เพราะประเทศไทยในปัจจุบันมีปัญหารอบด้าน เท่าๆ กับที่ประชาชนมี ‘ทุกข์แห่งชีวิต’ รุมเร้าไม่หยุด ความสำเร็จของนายกฯ อนุทิน และพรรคภูมิใจไทยจึงเป็นความท้าทายอย่างยิ่ง และไม่ว่ารัฐบาลผสมของภูมิใจไทยจะอยู่เพียง 4 เดือน หรืออาจมากกว่า 4 เดือน ด้วยนัยทางการเมืองบางประการก็ตาม ปัญหาเหล่านี้จะไม่เลือนลางหายไปแต่อย่างใด
ไฟความมั่นคง: สุมไฟ 10 กองใหญ่ในสังคมไทย
ดังนั้น หากเอาประเด็นปัญหาความมั่นคงในปัจจุบันเป็นตัวตั้ง เราจะเห็นถึง ‘ความท้าทาย’ ต่อผู้นำไทยอย่างมาก เนื่องจากปัญหา ‘ความมั่นคงของประเทศ’ ในช่วงเวลาเช่นนี้ สะท้อนให้เห็นว่าชีวิตของประเทศและชีวิตของผู้คนในสังคมไทยกำลังเผชิญกับปัญหาต่างๆ รุมเร้าอย่างรอบด้าน จนคนในสังคมหลายส่วนมีความรู้สึกว่า สังคมไทยกำลังอยู่ในช่วง ‘ขาลง’ อย่างน่ากังวล อีกทั้งปัญหาต่างๆ มีแนวโน้มที่จะหนักมากขึ้น ขณะเดียวกันในสภาวะเช่นนี้ ผู้คนในสังคมก็มองไม่เห็นทางออกเท่าใดนัก
หากเราทดลองจำแนกปัญหาความมั่นคง ที่กำลังรุมเร้าและเป็นดัง ‘ไฟที่แผดเผา’ ในภาวะปัจจุบันนั้น เราจะเห็น ‘ไฟกองใหญ่’ ที่กำลังลุกโชน โดยมีชีวิตของคนและประเทศเป็น ‘เชื้อไฟ’ ดังนี้
- ไฟเขมร: ความขัดแย้งไทย-กัมพูชาในรอบใหม่ล่าสุดของยุคปัจจุบัน ดูท่าจะไม่ใช่เรื่องง่ายในการจัดการแต่อย่างใด ทั้งมีแนวโน้มที่อาจเป็นความขัดแย้งแบบลากยาว หรือกลายเป็น ‘สงครามยืดเยื้อ’ ทางการเมืองระหว่างไทยกับกัมพูชาอีกด้วย และเห็นได้ชัดถึงการตกเป็น ‘ฝ่ายรับ’ ของไทยมาโดยตลอด นับตั้งแต่ปัญหาเกิดและขยายตัวหลังจากกรณีการปล่อยคลิปเสียงสนทนาของผู้นำ 2 ฝ่าย จนถึงปัจจุบันนั้น จึงเป็นเสมือนกับ ‘ไฟเขมร’ กำลังเผาพวกเราอีกแบบ และจนบัดนี้ ก็ยังไม่เห็นว่าจะมีนโยบายที่จะดับไฟกองนี้อย่างไร รวมทั้งจินตนาการในการแก้ปัญหาของผู้นำไทยเอง ก็ดูขาดความเข้าใจปัญหาและสภาวะแวดล้อมของปัญหาอย่างมาก จนเหมือนผู้นำไทยในช่วงที่ผ่านมา ติดกับดักความคิดที่เป็นจริงของตนเองในการคลี่คลายปัญหา เพราะเชื่อมั่นว่า เราจะใช้กำลังทหารบีบกัมพูชาให้ยอมเจรจากับไทยแบบ ‘ทวิภาคี’ และไม่ตระหนักถึงการขยับตัวของปัญหาที่มีความเป็น ‘พหุภาคี’ ในตัวเองมากขึ้น
- ไฟพม่า: ในขณะที่ไฟสงครามกัมพูชาลุกโชนรุนแรง จนความสนใจของคนทั้งหมดในสังคมไทยมุ่งความสนใจไปกับปัญหาชายแดนด้านตะวันออก เราอาจจะลืมไปว่า สถานการณ์สงครามกลางเมืองเมียนมายังมีความรุนแรงอยู่พอสมควร และมีความเป็นไปได้มากที่รัฐบาลทหาร อาจจัดการการเลือกตั้งในอนาคต ซึ่งจะเป็นคำถามที่ท้าทายต่อรัฐบาลไทยอย่างมากว่า จะสนับสนุนการเลือกตั้งของรัฐบาลทหารหรือไม่ และในอีกด้านของปัญหา รัฐบาลควรกำหนดนโยบายต่อกลุ่มติดอาวุธของชาติพันธุ์ต่างๆ และฝ่ายประชาธิปไตยอย่างไร และทั้งจะมีบทบาทในการให้ความช่วยเหลือตามแนวชายแดนอย่างไรด้วย
- ไฟใต้: สถานการณ์ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ หวนกลับมาท้าทายรัฐไทยอย่างมาก เราเผชิญ 4 สงครามพร้อมกัน คือ ‘สงครามการเจรจา-สงครามแนวร่วม-สงครามการทหาร-สงครามข่าวสาร’ แต่จนถึงปัจจุบัน รัฐไทยตกอยู่ในสภาพของการเป็น ‘ฝ่ายรับ’ แทบไม่ต่างจากปัญหากัมพูชา และไม่มีความชัดเจนว่า เราควรจะดำเนินการอย่างไรต่อไปในอนาคต อีกทั้ง ปัญหานี้จะเป็นเรื่องที่ถูกทิ้งค้างมานาน โดยยังไม่มีรัฐบาลใด ทำให้เกิดความชัดเจนในเรื่องของ ‘ยุทธศาสตร์ภาคใต้’ อันจะเป็นคำตอบเชิงนโยบายสำหรับการ ‘ดับไฟใต้’ และคำถามที่รัฐบาลใหม่จะต้องตอบให้ได้คือ รัฐบาลไทยจะตั้งคณะผู้เจรจาปัญหาภาคใต้หรือไม่ ถ้าตั้งแล้ว จะเลือกใครเป็นหัวหน้าคณะเจรจา ตลอดรวมถึง การกำหนดแนวทางรองรับปัญหาการสับเปลี่ยนกำลังที่จะเกิดขึ้นในปี 2570 ตามการกำหนดของ ‘ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี’
- ไฟการเมือง: การเมืองไทยอยู่ในวังวนของความขัดแย้งทางการเมือง การต่อสู้ทางการเมือง การแย่งชิงอำนาจทางการเมือง ผลที่เกิดขึ้นตามมาคือ ระบบรัฐสภาไทยอ่อนแอในตัวเองอย่างมาก และก่อให้เกิด ‘การเมืองแห่งความไร้เสถียรภาพ’ อีกทั้งยังส่งผลให้ ‘กระบวนการทำให้เป็นประชาธิปไตย’ ของสังคมการเมืองไทยนั้น มีอาการเป็นเสมือนรถยนต์ที่ ‘เครื่องรวน’ อยู่ไม่จบ หรือระบอบการปกครองกลายเป็น ‘รัฐนาวา’ ที่พาประเทศขยับตัวไปข้างหน้าได้ช้ามาก เราจึงได้แต่หวังว่า ไฟการเมืองเช่นนี้จะต้องไม่ใช่ ‘ไฟนำทาง’ เพื่อให้การเมืองนอกระบบหวนกลับมาในการเมืองไทยอีกครั้ง ดังเสียงสะท้อนจากโพลว่า อยากได้อดีตนายกรัฐมนตรียุค คสช. กลับมาอีกครั้ง โดยมีเสียงสนับสนุนสูงถึง 42.46% มากกว่านักการเมืองพลเรือนอันดับ 2 ที่ได้เสียงเพียง 26.88% (ไทยรัฐโพลจาก 29 สิงหาคม-2 กันยายน, ดูในไทยรัฐออนไลน์) ขณะเดียวกันในอีกด้าน ก็เป็นความท้าทายว่า นายกฯ อุทินจะควบคุมเอกภาพของความเป็นรัฐบาลผสมชุดนี้อย่างไร เพราะรัฐบาลผสมมักเกิดปัญหาเสถียรภาพในตัวเองอยู่เสมอ
- ไฟเศรษฐกิจ: เศรษฐกิจเป็นไฟกองใหญ่ที่สุดในชีวิตคนไทยปัจจุบัน ไฟกองนี้เผาชีวิตคนไทยจากปัญหาหนี้ครัวเรือน ไฟกองนี้ที่สำคัญเป็นผลจากปัญหา ‘เศรษฐกิจมหภาค’ ของไทยที่มีอาการถดถอยมาโดยตลอด ดังจะเห็นชัดจากปัญหาการส่งออก ปัญหาราคาสินค้าเกษตร ปัญหาการถดถอยของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย อีกทั้ง เป็นเพราะไฟกองนี้แหละ ที่ทำให้ชีวิตของผู้คนในสังคมไทยยุคปัจจุบันไม่สดใสเท่าใดนัก และกองนี้เป็นไฟสำคัญที่มีชีวิตทางเศรษฐกิจของประชาชนเป็นเชื้อเพลิง รัฐบาลจะกำหนดนโยบายเศรษฐกิจมหภาคของไทยอย่างไรในอนาคต
- ไฟทรัมป์: ไฟจากภาษีที่รัฐบาลประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์ กำหนดสำหรับประเทศไทยในการส่งสินค้าเข้าสู่สังคมอเมริกันที่ร้อยละ 19 นั้น รัฐบาลไทยจะต้องนำเอาอัตราภาษีดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา เพื่อให้ครบถ้วนในกระบวนการทางกฎหมายของฝ่ายไทย ในอีกด้านคงต้องนำเอามาเป็นประเด็นในการพิจารณาว่า ผลกระทบที่จะเกิดกับเศรษฐกิจและภาคการผลิตของไทยนั้น จะเป็นเช่นใด และรัฐบาลจะมีแนวทางการแก้ไขแบบใด เพราะอัตราภาษีนี้มีนัยโดยตรงกับขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยตลาดอเมริกันในอนาคต ซึ่งเป็นตลาดสินค้าส่งออกที่ไทยทิ้งไม่ได้
- ไฟธรรมชาติ: ปัญหาสำคัญที่ส่งผลต่อ ‘ปัญหาความมั่นคงของมนุษย์’ อย่างชัดเจน คือ สภาวะความเปลี่ยนแปลงของอากาศ ดังเช่นที่ปรากฏให้เห็นในสถานการณ์ปัจจุบัน คือ ปัญหาน้ำท่วมใหญ่ในหลายจังหวัด และประชาชนผู้ได้รับผลกระทบรอความช่วยเหลือจากรัฐบาล ปัญหาอีกส่วนยังเป็นเรื่องของมลพิษในธรรมชาติเช่นในกรณีปัญหาในแม่น้ำกก ที่ต้องการการตัดสินใจในเชิงนโยบาย และการเจรจาระหว่างประเทศ เพราะเป็นสภาวะ ‘มลพิษข้ามชาติ’ ที่ต้องการแก้ปัญหาในมิติระหว่างประเทศ และต้นทางของปัญหาเกี่ยวโยงกับรัฐมหาอำนาจใหญ่อย่างจีนด้วย
- ไฟโจร: ไฟอีกกองที่ถูกจุดแล้วเผาสังคมไทยไม่หยุดหย่อนคือ ไฟจาก ‘อาชญากรรมข้ามชาติ’ ไม่ว่าจะเป็นยาเสพติด การพนันออนไลน์ สแกมเมอร์ และการขยายอิทธิพลของจีนเทา ปัญหาเหล่านี้ต้องการนโยบายในการแก้ไข และทั้งยังเป็นปัญหาที่เกี่ยวพันกับปัญหาประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งในกรณีของพม่าและกัมพูชา ตลอดรวมถึงเกี่ยวข้องโดยตรงกับบทบาทของอาชญากรรมข้ามชาติที่เป็น ‘แก๊งอาชญากรจีน’ ที่มีบทบาทอยู่ในประเทศทั้ง 2 อาชญากรรมเช่นนี้เป็นไฟที่เผาเศรษฐกิจไทยในอีกแบบ และยังเผาชีวิตคนไทยที่ถูกหลอกลวงจนหลายคนและหลายครอบครัวตกอยู่ในสภาพสิ้นเนื้อประดาตัว
- ไฟศรัทธา: ไฟที่น่ากลัวที่สุดในมิติของจิตวิทยาการเมืองคือ ‘ความเชื่อมั่น-ความศรัทธา’ และไฟนี้พร้อมที่จะเผาทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้าได้ อย่างน้อย ‘จลาจลต่อต้านนักการเมือง’ ที่กำลังเกิดขึ้นในอินโดนีเซียนั้น ดูจะเป็นข้อเตือนใจอย่างดี เพราะ ‘วิกฤตศรัทธา’ ที่เมื่อเกิดกับตัวบุคคลในฐานะนักการเมือง หรือเกิดกับรัฐบาล หรือแม้กระทั่งอาจเกิดกับระบบการเมืองได้ด้วย ดังจะเห็นได้จากนิด้าโพล ซึ่งคนไทยในภาวะปัจจุบันที่รู้สึกหมดหวังทางการเมืองมีจำนวนมากขึ้น จนแทบจะนิยามอาการได้ คือ ‘เบื่อแดง-รำคาญส้ม-ไม่เอาน้ำเงิน’ และยังไม่รู้จะลงเสียงให้พรรคใดในการเลือกตั้งครั้งหน้า รัฐบาลและตลอดรวมถึงบรรดานักการเมืองอาจต้องตระหนักถึง ปัญหาและความยากลำบากที่เกิดกับชีวิตของพี่น้องประชาชนนั้น เป็น ‘วิกฤตความมั่นคงของมนุษย์’ ในหลายครอบครัว ซึ่งทำให้คนในสังคมมีความรู้สึก ‘ต่อต้านนักการเมือง’ มากขึ้น ตัวอย่างจากอินโดนีเซีย เป็นปัญหาหนึ่งที่ท้าทายในภาวะเช่นนี้
- ไฟการเมืองโลก: ไฟในเวทีโลกร้อนแรงเสมอ เนื่องจากปัญหาการแข่งขันของรัฐมหาอำนาจใหญ่ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านสะท้อนถึงความรุนแรงของปัญหา โดยเฉพาะภาพสะท้อนจากปัญหาสงครามยูเครน ปัญหาช่องแคบไต้หวัน ปัญหาหมู่เกาะทะเลจีนใต้ เป็นต้น ปัญหาเหล่านี้เรียกร้องให้ผู้นำไทยต้องกำหนดนโยบายต่างประเทศไทยในเวทีโลกให้ได้อย่างเหมาะสม เพราะสภาพแวดล้อมในเวทีระหว่างประเทศมีความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และในบางครั้งได้กลายเป็นแรงกดดันอย่างสำคัญต่อการจัดวางบทบาทของประเทศทั้งในระดับภูมิภาค และระดับโลก การจัดวางประเทศในเวทีสากลจึงเป็นประเด็นที่ท้าทาย
จะดับไฟได้จริงไหม?: ความสิ้นหวังทางการเมือง
ไฟทั้ง 10 กองที่กล่าวแล้วในข้างต้น ต้องยอมรับว่าเป็น ‘ไฟกองใหญ่’ ที่ยังแผดเผาไม่หยุด จนชวนให้คิดอย่างมากว่า รัฐบาลผสมของนายกฯ อนุทิน จะทำหน้าที่เป็น ‘พนักงานดับเพลิง’ ที่มีความสามารถในการดับไฟเหล่านี้ได้เพียงใด เพราะชีวิตประชาชนในภาพรวมนั้น ต้องยอมรับว่าอยู่ในสภาพของ ‘ความอ่อนล้า’ กับกองเพลิงที่ร้อนแรงไม่หยุด
ความอ่อนล้าในชีวิตเช่นนี้สะท้อนผ่านตัวเลขที่บ่งบอกถึงอาการของความ ‘หมดหวังทางการเมือง’ ดังจะเห็นได้จากผลการสำรวจ ซึ่งโพลจำแนกเป็น หมดหวังแล้ว 41.91% และค่อนข้างหมดหวัง 34.19% หรือรวมพลคนหมดหวังมีมากถึงราว 76% เหลือคนมีความหวังเพียง 24% ซึ่งตัวเลขความหมดหวังที่มีจำนวนมากถึง 3 ใน 4 ของคนในสังคมนั้น ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยแล้ว เพราะคนมีความหวังมากที่สุดมีจำนวนเพียง 2.98% เท่านั้น ส่วนคนที่พอมีหวังมีจำนวน 20.92% (ดู ‘ผลโพลนิด้า คนไม่ค่อยพอใจการทำงาน สส. หมดหวังกับพรรคการเมืองทั้งฝ่ายค้าน-รัฐบาล’ ในไทยรัฐออนไลน์, 17 สิงหาคม 2568)
จำนวนตัวเลขจากโพลร้อยละ 76 กำลังบ่งบอกถึง ‘ไฟวิกฤตศรัทธา’ กำลังลุกร้อนแรงขึ้นในการเมืองไทย จึงอดคิดถึง ‘สัญญาณต่อต้านนักการเมือง’ จากการจลาจลและเผาในอินโดนีเซียไม่ได้ เพราะความไม่พอใจที่ประชาชนมีต่อนักการเมือง ได้กลายเป็นเชื้อเพลิงอย่างดีให้กับการจลาจลในครั้งนี้…นักการเมืองไทยอาจจะคิดว่า เรื่องจลาจลอย่างนี้ไม่น่าเกิดในสังคมไทย
ส่วนในสังคมไทยนั้น ไฟทั้งหลายนั้น จะลุกลามแล้วเผาอะไรในอนาคต คงไม่ง่ายที่จะคาดเดา และไม่อาจคาดเดาได้เลยว่า การเบื่อทั้ง ‘3 สี’ คือ ‘เบื่อแดง-รำคาญส้ม-ไม่เอาน้ำเงิน’ นั้น จะทำให้เกิดการเรียกร้องหาสีที่ 4 คือ ‘เขียว’ หรือไม่ แม้การร้องหาการเมืองนอกระบบแบบเดิมในการเมืองไทย จะไม่ใช่ทางออกที่ดีก็ตาม แต่ต้องไม่ลืมเสียงสะท้อนจากไทยรัฐโพล ที่ประชาชนอยากได้ ‘อดีตผู้นำรัฐประหาร’ กลับมาอีกมากถึง 42.46% (ชัยเกษม 26.88% และอนุทิน 18.79%, ไทยรัฐโพล)
ในอีกด้านก็น่าสนใจในเชิงเปรียบเทียบที่พบว่า ตัวเลขความนิยมของนายกฯ อนุทิน อยู่ในระดับเพียง 19 % ในขณะที่อดีตผู้นำทหารสูงถึง 42.5%
เสียงเช่นนี้ตีความเป็นอื่นไม่ได้เลย นอกจากเสียงสะท้อนที่เกิดจากความรู้สึกทางจิตวิทยาที่ไม่ตอบรับกับการเมืองปัจจุบัน โดยเฉพาะผู้คนสังคมแทบไม่มีความหวังมากนักกับความเป็นไปของการเมืองเท่าใดนัก และมองไม่เห็นทางออกจาก ‘กองไฟใหญ่’ ที่กำลังแผดเผาสังคมไทยในปัจจุบัน
ดังนั้น จากปัญหา ‘ไฟ 10 กองใหญ่’ ที่กำลังแผดเผาสังคมไทย พร้อมกับตัวเลขความรู้สึกของผู้คนในสังคมนั้น จึงเป็นคำเตือนที่จะต้องระมัดระวังถึงการเมืองนอกระบบของไทยที่อาจหวนคืนที่กรุงเทพฯ ได้อีก โดยเฉพาะ ตัวเลของความสิ้นหวังที่สูงถึงร้อยละ 76 จากโพลนิด้า เป็นตัวเลขที่รัฐบาลและนักการเมืองทั้งหลายควรต้องใส่ใจ
บางทีทางออกที่ดีที่สุดคือ การปล่อยให้การเมืองไทยเดินไปตามธรรมชาติของระบบรัฐสภา ซึ่งมีเรื่องราวที่สังคมการเมืองไทยอาจต้องเรียนรู้ เพื่อสร้างพัฒนาการให้เกิดความเข้มแข็งแก่ระบอบประชาธิปไตยไทยในอนาคตอีกหลายเรื่อง เนื่องจากที่ผ่านๆ มานั้น เราแทบไม่เคยเปิดโอกาสให้เกิดการพัฒนาของระบบรัฐสภาไทยเท่าใดนัก ประกอบกับเวทีประชาธิปไตยที่เป็นอุดมคตินั้น ก็มักจะเป็นเพียงความฝัน ขณะที่ความจริงคือ การยึดกุมเวทีของนักการเมืองจากทุกสี ทุกค่าย ที่เน้นอยู่กับการแสวงหาผลประโยชน์ของ ‘พวกเขา’ มากกว่า ‘พวกเรา’ ที่เป็นประชาชน อันทำให้เกิดคำถามย้อนกลับสู่ข้อความในข้างต้น แล้วประชาชนอยู่ตรงไหนใน ‘สมการ’ ของนักการเมือง
อนาคตที่ท้าทาย
อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่ไม่มีคำตอบให้สังคมไทยเฉพาะหน้าคือ แล้วเราหาทางจะช่วยกันดับไฟกองใหญ่บนเงื่อนไขของการเมืองปัจจุบันอย่างไร ผลจากการมองไม่เห็นอนาคตเช่นนี้ ทำให้ตัวเลขของความหมดหวังทะยานสูง 76 % อย่างน่าตกใจ ต้องยอมรับว่า เป็นตัวเลขของ ‘ความหดหู่’ ในทางจิตวิทยาการเมือง
ตัวเลขนิด้าโพล 76% กำลังบอกว่า สังคมไทยกำลังอยู่ใน ‘ยุคของความสิ้นหวังทางการเมือง’ อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ก็อดกังวลไม่ได้ว่า ถ้าสังคมไทยเรามีแต่ความสิ้นหวังแล้ว เราจะอยู่กันอย่างไรในอนาคต…
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขชุดนี้พร้อมกับ ‘ไฟใหญ่ 10 กอง’ ที่กล่าวแล้วในข้างต้น คือ ความท้าทายที่รออยู่เบื้องหน้าของรัฐบาลผสมของนายกฯ อนุทิน ทั้งยังเป็นคำถามอย่างสำคัญว่า รัฐบาลภูมิใจไทยจะสร้าง ‘ความหวัง’ ให้เกิดได้จริงเพียงใดกับอนาคตที่ไม่มีความแน่นอน!