×

เบื้องหลังภารกิจแก้เกมระบบการศึกษา ปลดล็อกศักยภาพคนไทย ของ ‘สภาการศึกษา’ ผ่าน L.E.A.R.N Pillar [Advertorial]

โดย THE STANDARD TEAM
03.10.2025
  • LOADING...
สภาการศึกษา ขับเคลื่อนการพัฒนาศักยภาพคนไทย ผ่าน 5 เสาหลัก L.E.A.R.N

HIGHLIGHTS

  • กับดัก 3 มิติ ที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาคนไทย ได้แก่ การพัฒนาศักยภาพที่ไม่เต็มที่, การจัดสรรทรัพยากรที่ไม่มีประสิทธิภาพ, และระบบที่ขาดความรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ ระบบการศึกษาแบบเดิมๆ อาจไม่สามารถรับมือกับปัญหาที่ซับซ้อนและท้าทายได้อีกต่อไป
  • สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) และผู้ทรงคุณวุฒิหลายภาคส่วน ร่วมกันออกแบบ ทิศทางการพัฒนาศักยภาพคนไทย (Thailand’s Human Capital Development Compass) เพื่อสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเรียนรู้ของทุกคน ทุกช่วงวัย ให้สามารถเข้าถึงโอกาสทางการศึกษาอย่างเท่าเทียมและเติบโตเป็น ‘พลเมืองที่เข้มแข็ง พร้อมเรียนรู้ ปรับตัว และก้าวไปสู่อนาคตอย่างยั่งยืน’
  • Thailand’s Human Capital Development Compass ขับเคลื่อนบน 5 เสาหลักสำคัญ L.E.A.R.N. ได้แก่ L – Learner Agency (ศักยภาพการเรียนรู้ของผู้เรียน) E – Educator Excellence (บุคลากรทางการศึกษามีสุขภาวะที่ดีและมีความเป็นเลิศ) A – Allocation (บริหารงบประมาณและทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ) R – Reach (การเข้าถึงการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่นสำหรับทุกคน) และ N – Network (การบริการจัดการแบบเครือข่ายและการมีส่วนร่วม)

การปฏิวัติอุตสาหกรรมด้วยเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจ หรือแม้แต่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรเข้าสู่สังคมสูงวัย ล้วนเป็นอุปสรรคและปัจจัยท้าทายต่อ ‘การพัฒนาศักยภาพคนไทย’

 

จากดัชนีการพัฒนามนุษย์ (HDI) ปี 2565 ไทยอยู่ในอันดับที่ 66 จาก 193 ประเทศ จัดอยู่ในกลุ่ม ‘การพัฒนามนุษย์สูง’ แต่ก็ยังมีความเหลื่อมล้ำสูง

 

ขณะที่ ดัชนีทุนมนุษย์ (HCI) ของ World Bank เผยให้เห็นความท้าทายเชิงคุณภาพ รายงานล่าสุดจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศ (Thailand Development Research Institute: TDRI), UNICEF และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ปี 2568 ระบุว่า เด็กแรกเกิดในไทยจะสามารถพัฒนาศักยภาพทุนมนุษย์ได้เพียง 61% เมื่ออายุ 18 ปี

 

 

และเมื่อดูตัวชี้วัดอื่นๆ อย่างดัชนีความพร้อม AI (AIPI) ปี 2565 ไทยอยู่ที่อันดับ 54 จาก 160 ประเทศ ยังไม่เพียงพอต่อการใช้ AI ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ รวมถึงดัชนีทุนมนุษย์และตลาดแรงงาน IMF ไทยได้คะแนนเพียง 0.34 จาก 1.0 บ่งชี้ว่าการเตรียมคนให้พร้อมเข้าสู่ตลาดแรงงานคุณภาพยังต่ำ

 

นี่ไม่ใช่เพียงสัญญาณเตือนให้ไทยต้องเร่งแก้ปัญหาเพื่อลดช่องว่างเชิงโครงสร้างและปลดล็อกศักยภาพคนไทยเท่านั้น แต่ยังสะท้อนลึกไปถึงปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบการศึกษาแบบเดิมๆ อาจไม่สามารถรับมือกับปัญหาที่ซับซ้อนและท้าทายได้อีกต่อไป

 

 

The Standard มีโอกาสพูดคุยกับ รองศาสตราจารย์ ดร.ประวิต เอราวรรณ์ เลขาธิการสภาการศึกษา ฟันเฟืองสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการปรับจูนเข็มทิศใหม่ผ่าน ทิศทางการพัฒนาศักยภาพคนไทย (Thailand’s Human Capital Development Compass) ที่ออกแบบมาเพื่อสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเรียนรู้ของทุกคน ทุกช่วงวัย ให้สามารถเข้าถึงโอกาสทางการศึกษาอย่างเท่าเทียมและเติบโตเป็น ‘พลเมืองที่เข้มแข็ง พร้อมเรียนรู้ ปรับตัว และก้าวไปสู่อนาคตอย่างยั่งยืน’  

 

ดร.ประวิต บอกว่า “แนวทางนี้จะทำให้เราปรับตัวได้เร็วขึ้น” เพราะท่ามกลางแรงกดดันจากการเปลี่ยนแปลงของเมกะเทรนด์และความเสี่ยงระดับโลก ถ้ายังปรับแก้ ถกเถียงเรื่องแผนการศึกษาชาติอยู่ ไทยอาจถูกทิ้งห่าง

 

ยิ่งไปกว่านั้น ดร.ประวิต ได้ฉายภาพ กับดัก 3 มิติ ที่ฉุดรั้งการศึกษาไทย และจะส่งผลกระทบต่อการพัฒนาศักยภาพคนไทยในอนาคต

 

  • การพัฒนาศักยภาพคนทำได้ไม่เต็มที่: คนไทยมีศักยภาพสูง แต่ไม่มีกระบวนการที่จะผลักดันให้พวกเขาไปถึงขีดความสามารถสูงสุดได้ ระบบการศึกษาที่แข็งตัวและปรับตัวช้ากลายเป็นอุปสรรคที่ดึงศักยภาพของเด็กไว้
  • การจัดสรรทรัพยากรไม่มีประสิทธิภาพ: ประเทศไทยทุ่มงบประมาณด้านการศึกษาในสัดส่วนต่อ GDP ที่สูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับไม่สูงตาม สะท้อนให้เห็นว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ ‘ไม่มีเงิน” แต่อยู่ที่ ‘การใช้เงินยังไม่ดีพอ’
  • ระบบขาดความรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ (Accountability): เมื่อเกิดปัญหา เช่น เด็กอ่านหนังสือไม่ออก หรือบัณฑิตจบใหม่ไม่มีทักษะตรงตามตลาดแรงงาน กลับไม่มีใครต้องรับผิดชอบอย่างชัดเจน ทำให้ปัญหาไม่ถูกแก้ไขอย่างจริงจัง

 

“ถ้ามองให้ดี รากของปัญหาเรื่องการพัฒนาศักยภาพคนไทยมันมีปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาและระบบการศึกษาที่ไม่สามารถดึงศักยภาพเด็กออกมาได้เต็มที่ ทับซ้อนอยู่เรื่องความเหลื่อมล้ำ ปัญหาคือการจัดสรรทรัพยากรโดยไม่คำนึงถึงต้นทุนที่ไม่เท่ากันของแต่ละคนหรือแต่ละโรงเรียน อาจต้องจำแนกหรือออกแบบระบบที่ช่วยให้คนมีโอกาสพัฒนาตัวเองไปยังจุดที่เท่าเทียมได้มากขึ้น”

 

“ส่วนประเด็นเรื่องระบบการศึกษา เนื่องจากหลักสูตร การสอน ครู และระบบโดยรวมยังแข็งตัว ปรับตัวช้า ทำให้เด็กเก่ง ศักยภาพสูงถูกจำกัดให้พัฒนาได้ไม่เต็มศักยภาพ นอกจากนั้นเรายังขาดข้อมูลเชิงลึกเพื่อพัฒนาเด็ก ข้อมูลจาก OECD พบว่าไทยมีเด็กที่เป็น Talent มากถึง 15% แต่เรายังไม่มีระบบค้นหาและพัฒนาเด็กกลุ่มนี้ได้อย่างทั่วถึง”

 

“ต้องยอมรับความจริงว่าเราไม่มีทางพัฒนาเด็กให้เก่งเท่ากันได้ทั้งหมด จึงจำเป็นต้องพัฒนาเด็กศักยภาพสูงให้เป็น ‘หัวขบวน’ ฉุดลากคนใน GEN เขา เมื่อเขาเข้าสู่ระบบแรงงาน เขาจะไม่เป็นภาระข้ามรุ่น”

 

 

“นี่เป็นโจทย์ที่ผมอยากจะเข้ามาแก้” ดร.ประวิต บอกว่า การทบทวนเป้าหมายการศึกษาของประเทศใหม่เป็นเรื่องสำคัญ เป้าหมายที่จะเห็นเด็กเป็น ‘คนดี คนเก่ง และมีความสุข’ ไม่สะท้อนความเป็นจริงในโลกยุคใหม่อีกต่อไป

 

“เวลาพูดถึงเรื่องการปฏิรูปการศึกษา ผมพยายามจะเรียนรู้บทเรียนต่างๆ จาก ดร.รุ่ง แก้วแดง อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เพราะท่านถือเป็นกำลังสำคัญที่ทำให้เกิด พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ซึ่งเป็น พ.ร.บ.ฉบับแรกของประเทศที่มีกฎหมายด้านการศึกษา ใช้กฎหมายเป็นแม่บทในการนำทางการปฏิรูปในมิติเชิงโครงสร้าง กระบวนการ การจัดการ รวมไปถึงการออกแบบผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นจากการจัดการศึกษาในประเทศทั้งหมด”

 

จึงเป็นที่มาของการหารือระหว่างสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาและผู้ทรงคุณวุฒิหลายภาคส่วน ร่วมกันออกแบบ ‘Thailand’s Human Capital Development Compass’ เพื่อบ่มเพาะศักยภาพคนไทยให้เหมาะสมตามช่วงวัยของผู้เรียน ตั้งแต่การสร้างครอบครัว เด็กแรกเกิด วัยเรียน วัยทำงาน ไปจนถึงผู้สูงอายุ โดยมีระบบการศึกษาที่มีความเสมอภาค มีคุณภาพ มีความยืดหยุ่น เป็นฐานรากสำคัญ ซึ่งจะขับเคลื่อนบน 5 เสาหลักสำคัญ L.E.A.R.N.

 

 

  • L – Learner Agency (ศักยภาพการเรียนรู้ของผู้เรียน) ผู้เรียนยุคใหม่ต้องครอบคลุมคนทุกช่วงวัยและต้องอยู่ในระบบการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อให้สามารถปรับตัวและสร้างความมั่นคงให้ตัวเองได้
  • E – Educator Excellence (บุคลากรทางการศึกษามีสุขภาวะที่ดีและมีความเป็นเลิศ) พัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาให้มีทักษะที่ทันสมัย เร่ง Upskill และ Reskill พร้อมดูแลสุขภาวะทั้งร่างกายและจิตใจ เพราะปัจจุบันวิกฤตคนรุ่นใหม่ไม่อยากเป็นครูเป็นปัญหาทั่วโลก เนื่องจากเป็นอาชีพที่หนักและกดดัน
  • A – Allocation (การบริหารงบประมาณและทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ) ทั้งการกระจายโอกาส หลักสูตร อุปกรณ์ และครูที่มีคุณภาพให้ทั่วถึงเพื่อลดความเหลื่อมล้ำอย่างแท้จริง
  • R – Reach (การเข้าถึงการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่นสำหรับทุกคน) สร้างระบบการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่นนอกห้องเรียน ให้ทุกคนสามารถเลือกเรียนเพื่อเพิ่มทักษะได้ตามความต้องการ ผ่านเครื่องมืออย่าง Credit Bank (ธนาคารหน่วยกิต) ผู้เรียนสามารถสะสมหน่วยกิตจากหลักสูตรต่างๆ แล้วนำมาเทียบโอนวุฒิการศึกษาในภายหลังได้ หรือ Micro-Credentials หลักสูตรระยะสั้นที่รับรองทักษะเฉพาะทาง ทำให้คนสามารถนำไปประกอบอาชีพได้ทันทีโดยไม่ต้องรอเรียนจบตามระบบ
  • N – Network (การบริการจัดการแบบเครือข่ายและการมีส่วนร่วม) ผลักดันให้การเรียนรู้เกิดขึ้นได้ทุกที่ ไม่จำกัดแค่ในโรงเรียน โดยส่งเสริมให้สถานประกอบการ ชุมชน หรือท้องถิ่น สามารถออกแบบหลักสูตรและจัดการศึกษาได้ด้วยตนเอง (Area-based Education) เพื่อพัฒนาคนในพื้นที่ของตน

 

“ข้อมูลจากนานาชาติชี้ว่า ประเทศที่เด็กเข้าสู่ระบบการเรียนรู้เร็ว โอกาสที่จะมีความสามารถในการแข่งขันยิ่งสูง แต่โรงเรียนแบบดั้งเดิมกลายเป็นข้อจำกัดในการพัฒนาศักยภาพเด็ก ถ้าเราปลดล็อกและเปิดระบบการศึกษาที่ยืดหยุ่นขึ้น ใช้ระบบ Credit Bank หรือ Micro-Credentials จะทำให้การเรียนรู้ยุคใหม่ไม่ต้องเรียนตามลำดับชั้นแบบเดิม แต่พัฒนาตามศักยภาพและจังหวะของแต่ละคนได้”

 

ดร.ประวิต ยกตัวอย่างเรื่องโอกาสในชีวิตของเด็กบางคนมีช่วงเวลาจำกัด เช่น เด็กที่มีความสามารถด้านกีฬาแล้วเขาได้รับโอกาสทำสิ่งนั้น หากระบบการศึกษาไม่ยืดหยุ่น เด็กอาจพลาดช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการพัฒนาศักยภาพ แต่ระบบที่ยืดหยุ่นจะทำให้เขาได้พัฒนาศักยภาพเต็มที่โดยไม่เสียโอกาสทางการศึกษา”

 

“การพัฒนาศักยภาพคนไทยต้องมีแนวทางที่ชัดเจน ยืดหยุ่น และพร้อมปรับเปลี่ยนได้รวดเร็ว เพื่อไม่ให้ติดกับระบบเดิมที่แข็งตัวเกินไป และทั้ง 5 แกน L.E.A.R.N. จำเป็นต้องขับเคลื่อนไปพร้อมกัน”

 

 

ปัจจุบันสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาเริ่มมีการขับเคลื่อนแล้ว ไม่ว่าจะเป็น ระบบ Credit Bank หรือการทำ Area-based Education พื้นที่นำร่องด้านการศึกษาในระดับประถมกว่า 10 จังหวัด

 

“เราได้เห็นปัจจัยความสำเร็จ เงื่อนไข และองค์ความรู้ที่ชัดเจน ทำให้เห็นว่าทิศทางที่เรามุ่งไปถูกต้อง ต่อจากนี้จะต้องผลักดันให้เป็นกระแสขับเคลื่อนร่วมกันทั้งระบบ”

 

ดร.ประวิต ยังชี้ให้เห็นว่า การขับเคลื่อนตามแนวทางนี้สร้างระบบการศึกษาที่ยืดหยุ่นได้จริง อาจช่วยลดปัญหาความเหลื่อมล้ำและแก้ปัญหาเด็กหลุดจากระบบได้

 

“มันคือการแก้ปัญหาโครงสร้างระยะยาวที่นำไปสู่ผลลัพธ์ที่เราอยากเห็น นั่นคือ การพัฒนาคนไทยให้เป็น Active Citizen ที่พร้อมเรียนรู้ ปรับตัว ดูแลตัวเองได้และทำประโยชน์ให้สังคมได้ พร้อมตั้งรับพายุการเปลี่ยนแปลงของโลกที่ผันผวน อาชีพเกิดใหม่ เครื่องมือและเทคโนโลยีใหม่ๆ ซึ่งถ้าจะทำให้ยั่งยืน จะแก้ปัญหาแบบฉาบฉวยไม่ได้ ต้องพัฒนาทั้งระดับบุคคล ครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติ เพื่อให้พร้อมเผชิญความเปลี่ยนแปลงระยะยาวอย่างมั่นคง”

 

ดร.ประวิต มองว่าหากไม่เร่งทำตอนนี้ “เราจะเสียโอกาสในการแข่งขัน”

 

ปัจจุบันสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษามี 15 ตัวชี้วัดคุณภาพของประเทศ โดยเฉพาะเรื่องการศึกษา จะเน้นไปที่ 5 มิติหลัก พบว่า คุณภาพการศึกษาไทยอยู่ระดับกลางค่อนไปทางต่ำ เมื่อดูตัวชี้วัดประสิทธิภาพการบริหาร พบว่า งบมีแต่จัดการไม่ดี ส่วนความเหลื่อมล้ำ การเข้าถึงการศึกษา และการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงและตลาดแรงงาน ภาพรวมอยู่ในระดับดี

 

“แต่ถ้ามองภาพรวม ตอนนี้เราถูกมาเลเซียแซงหน้าไปแล้ว ขณะที่อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนามกำลังไล่ตามมาอย่างรวดเร็ว ประเทศไทยมีการพัฒนาแต่อัตราเร่งของเรายังช้าเกินไป เราต้องกล้าที่จะลองผิดลองถูกและปรับตัวให้เร็วกว่านี้”

 

ตัวชี้วัดว่าการปรับจูนเข็มทิศใหม่ผ่านทิศทางการพัฒนาศักยภาพคนไทย (Thailand’s Human Capital Development Compass) ทั้ง 5 แกนสำเร็จหรือไม่นั้น ดร.ประวิต บอกว่าอาจจะต้องวัดกันที่ ‘ผลลัพธ์ของคน’ ไม่ใช่ ‘กระบวนการ’ “เพราะปลายทางที่เราปักธงไว้คือ ความอยู่ดีมีสุข ความมั่นคงในชีวิต การปรับตัวทันโลก และความสุขในการใช้ชีวิต 

 

นั่นหมายความว่า เด็กไทยต้องได้รับการดูแลที่ได้มาตรฐานตั้งแต่ปฐมวัย วัยทำงานมีอัตราการ Reskill และ Upskill สูงขึ้น สามารถพัฒนาอาชีพหรือเปลี่ยนสู่อาชีพใหม่ได้ ขณะเดียวกันผู้สูงอายุ ได้กลับเข้าสู่ระบบการเรียนรู้ ลดภาวะซึมเศร้า และมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจ”

 

 

“จากนี้ไปกระบวนการต้องปรับตัวให้เร็ว เพื่อไปสู่ผลลัพธ์ให้เร็วที่สุด เพราะในอนาคตทักษะแรงงานกว่า 40% จะเปลี่ยนไป เด็กไทยที่จบจากระบบการศึกษาและพร้อมทำงานในโลกใหม่มีเพียง 49%”

 

ดร.ประวิต มองว่า นอกเหนือจากระบบการศึกษาที่ยืดหยุ่น มีการ Reskill และ Upskill เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง มหาวิทยาลัยต้องปรับบทบาท ลดการผูกขาดหลักสูตร เปิดระบบการเรียนรู้ที่กว้างขึ้น รองรับทั้งวัยเรียนและวัยทำงาน

 

“ปัจจุบัน สภาการศึกษาได้ทำ ‘รายงานสถานการณ์การศึกษา’ ทุกไตรมาส เพื่อตรวจสอบตัวชี้วัดจุดที่ทำได้และทำไม่ได้ เพื่อเร่งการพัฒนา กระตุ้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เร่งแก้ไข”

 

มองภาพใหญ่ ‘การพัฒนาศักยภาพคนไทย’ เป็นบิ๊กโปรเจกต์ที่ต้อง Learning by Doing กันไปทั่งองคาพยพ ตั้งแต่รัฐบาล หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึง ‘คนไทยทุกคน’ ในบทบาท Learner

 

ดร.ประวิต บอกว่า สิ่งสำคัญคือ เปิดรับ เรียนรู้ และแสวงหาองค์ความรู้ใหม่ๆ ขณะเดียวกันต้องปรับตัว อย่าปฏิเสธการเปลี่ยนแปลง

 

“ถ้ามองในมิติความยั่งยืน ทุกการเรียนรู้ ไม่ว่าจะเรียนรู้เป็นครั้งคราว หรือเรียนเพื่อไปสู่อาชีพใหม่ๆ โอกาสใหม่ๆ ระยะยาวมันเกิดผลดีกับตัวเราทั้งนั้น ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง”

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising