×

‘แว่นใหญ่’ โอฬาร ชูใจ การเดินทางใหม่ที่น่าตื่นเต้น หลังเดินออกจากประตูที่ชื่อว่า ‘คอมฟอร์ตโซน’

12.05.2019
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

7 Mins. Read
  • ‘แว่นใหญ่’ โอฬาร ชูใจ คือนักร้อง นักดนตรี และนักแต่งเพลง อดีตสมาชิกวง Room39 ที่เพิ่งประกาศยุบวงไปเมื่อหลายเดือนก่อน หลังควันไฟจากข่าวร้ายสำหรับแฟนเพลงค่อยๆ จางไป เขาจึงเริ่มต้นเดินทางต่อด้วยการเปิดตัวในฐานะศิลปินเดี่ยวกับซิงเกิลแรก ‘เจ็บจนพอ’ เส้นทางที่เขาบอกว่าเสี่ยง แต่ก็คุ้มค่าที่จะออกจากคอมฟอร์ตโซน “โชคดีแค่ไหนแล้วที่เรายังได้ทำในสิ่งที่รัก”
  • วันนี้ที่เราก้าวออกมาเป็นศิลปินเดี่ยว ไม่มีใครรู้หรอกว่าผลจะเป็นอย่างไร แต่สิ่งที่รู้แน่ๆ คือเรากำลังทำในสิ่งที่รัก เรายังได้ทำในสิ่งที่อยากทำอยู่ ดังนั้นสำหรับผม มันไม่ได้เป็นการติดลบหรือเซตศูนย์ แต่มันเป็นการเดินทางใหม่ที่น่าตื่นเต้น”  
  • “พูดตรงๆ ทุกวันนี้เราคือศิลปินหน้าใหม่ และเราไม่ได้มองว่าตัวเองเป็นเบอร์ที่ขายได้แบบเดิมอีกต่อไป เราเป็นศิลปินที่ต้องออกมาทำความรู้จักกับแฟนเพลง ซึ่งมันไม่มีอะไรมารองรับหรือการันตีกับใครได้เลยว่าทำสิ่งนี้แล้วจะซักเซส”
  • “สำหรับผม สิ่งที่เกิดขึ้นกับ Room39 มันไม่ใช่สิ่งใหม่ แต่มันทำให้เราได้เรียนรู้ว่า เราควรทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเสมอ ในวันที่คุณยังทำได้ แล้วคุณจะไม่เสียใจ เมื่อเวลามันผ่านไป”

 

 

“การสิ้นสุดของสิ่งหนึ่ง หมายถึงการเริ่มต้นของสิ่งใหม่เสมอ”

 

เช่นเดียวกับจังหวะในชีวิตของ ‘แว่นใหญ่’ โอฬาร ชูใจ นักร้อง นักดนตรี นักแต่งเพลง อดีตสมาชิกวง Room39 ที่เพิ่งประกาศยุบวงไปเมื่อหลายเดือนก่อน หลังควันไฟจากข่าวร้ายสำหรับแฟนเพลงค่อยๆ จางไป แว่นใหญ่จึงเริ่มต้นเดินทางต่อด้วยการเปิดตัวในฐานะศิลปินเดี่ยวกับซิงเกิลแรก เจ็บจนพอ  

 

ขณะเดียวกัน ในวันนี้เขาก็มีหมวกอีกใบในสถานะผู้บริหารค่ายเพลง Holy Fox ค่ายลูกในเครือ LOVEiS ร่วมกับ มน-ชุติมน วิจิตรทฤษฎี อดีตสมาชิกวง Room39 ทั้งหมดคือก้าวแรกบนเส้นทางสายใหม่ที่เขาบอกว่าเสี่ยง แต่ก็คุ้มค่าที่จะออกจากคอมฟอร์ตโซน

 

“โชคดีแค่ไหนแล้วที่เรายังได้ทำในสิ่งที่รัก” เขายิ้มบอกกับ THE STANDARD POP พร้อมกับยืนยันเสียงหนักแน่นว่า การเริ่มต้นใหม่ครั้งนี้ ‘ไม่ได้เป็นการติดลบหรือเซตศูนย์ แต่มันเป็นการเดินทางใหม่ที่น่าตื่นเต้น’

  

ก่อนจะทำความรู้จัก ‘แว่นใหญ่’ ในฐานะศิลปินเดี่ยว คิดว่าควรพาย้อนกลับไปคุยถึง ‘คำถาม’ ที่แฟนเพลงน่าจะยังสงสัย คาใจ บ่นเสียดายกันก่อน ถามตรงๆ สรุปว่าทำไมถึงเลือกจะตัดสินใจแยกวง

สำหรับผมจริงๆ มันไม่ใช่การตัดสินใจที่ผมเลือก แต่ในเมื่อมาถึงจุดเปลี่ยนที่เรียกว่าความเปลี่ยนแปลง เราก็ต้องออกจากเซฟโซน หลายๆ คนมองว่ามันเป็นการนับหนึ่งใหม่เลยนะ ซึ่งก็ดีเหมือนกันครับ เพราะมันทำให้ตัวเองได้พบกับความท้าทายอีกขั้นหนึ่ง คุณไม่ใช่คนที่ทำอะไรแล้วจะซักเซสเสมอไป แต่ถ้าเรามานั่งมองในแง่ลบว่า โอ้โห ทุกอย่างมันหายหมดเลยนะ จากที่เมื่อก่อนทำมิวสิกวิดีโอ เราไปขอสปอนเซอร์มา ไทอินก็ง่าย แต่หลังจากนี้ทุกอย่างจะไม่ง่ายเหมือนเดิม มันเป็นการเริ่มต้นถางหญ้าใหม่ ยังดีที่เรามีพร้าของเราติดมือไว้

 

ผมหมายถึงสิ่งที่เราเคยทำ ทักษะและประสบการณ์ที่เรามี ฉะนั้นสำหรับผมถ้าจะมองว่ายากมันก็ยาก จะมองว่าไม่ยากมันก็ไม่ยาก เพราะนับจากนี้มันก็คือการทำแบบเดิม ทำต่อไป เพียงแต่ในอีกเส้นทางที่ต่างไปจากเดิม

 

โลกความจริงหลังเดินออกจากเซฟโซนเป็นไงบ้าง

พูดตรงๆ ทุกวันนี้เราคือศิลปินหน้าใหม่ และเราไม่ได้มองว่าตัวเองเป็นเบอร์ที่ขายได้แบบเดิมอีกต่อไป เราเป็นศิลปินที่ต้องออกมาทำความรู้จักกับแฟนเพลง ซึ่งมันไม่มีอะไรมารองรับหรือการันตีกับใครได้เลยว่าทำสิ่งนี้แล้วจะประสบความสำเร็จ

 

 

 

 

พูดตรงๆ ทุกวันนี้เราคือศิลปินหน้าใหม่ และเราไม่ได้มองว่าตัวเองเป็นเบอร์ที่ขายได้แบบเดิมอีกต่อไป เราเป็นศิลปินที่ต้องออกมาทำความรู้จักกับแฟนเพลง ทั้งที่เคยรู้จักและยังไม่เคยรู้จัก และมันไม่มีอะไรมารองรับหรือการันตีกับใครได้เลยว่าทำสิ่งนี้แล้วจะซักเซส

 

 

พูดง่ายๆ เป็นทางเดินที่เสี่ยงพอสมควร

ใช่ๆ พูดจริงๆ ผมเป็นคนที่เส้นทางชีวิตเจออะไรแบบนี้อยู่เรื่อยๆ นะ อย่างเมื่อก่อนเคยทำงานประจำอยู่เมืองนอก เรามีทิศทางของตัวเองว่าจะทำอะไร แต่แล้ววันหนึ่งเราก็เลือกเดินออกจากเซฟโซนด้วยการตัดสินใจกลับมาเล่นดนตรีที่เมืองไทย โดยที่ไม่รู้ว่าจะไปรอดหรือเปล่า

 

ตอนนั้นเราเป็นคนดูแลภาระของครอบครัว ผ่อนบ้านผ่อนอะไร เราก็ถึงขนาดโทรบอกแม่กับพ่อว่าไม่รู้ผลจะออกมาเป็นอย่างไรเหมือนกัน แต่อยากให้ทุกคนเตรียมตัวด้วย เผื่อว่าสุดท้ายแล้วมันไม่ได้เป็นอย่างที่เราตั้งใจ รู้อย่างเดียวว่าเราเลือกด้วยใจ ใช้แพสชันนำ ในเมื่อเรามีความฝันแบบนี้ เราเลือกจะเสี่ยงแล้วกัน

 

เช่นเดียวกันกับทุกวันนี้ที่เราก้าวออกมาเป็นศิลปินเดี่ยว ไม่มีใครรู้หรอกว่าผลจะเป็นอย่างไร แต่สิ่งที่รู้แน่ๆ คือเรากำลังทำในสิ่งที่รัก เรายังได้ทำในสิ่งที่อยากทำอยู่ ดังนั้นสำหรับผม มันไม่ได้เป็นการติดลบหรือเซตศูนย์ แต่มันเป็นการเดินทางใหม่ที่น่าตื่นเต้น

 

บางทีการเดินออกจากสิ่งเก่า ก็อาจจะนำพามาซึ่งสิ่งใหม่ในอนาคตก็ได้นะ  

ใช่ฮะ ผมรู้สึกว่ามันคือการได้พังอะไรบางอย่างในความรู้สึกออกไป เพื่อที่เราจะได้สร้างอะไรบางอย่างในความรู้สึกเราขึ้นมาเหมือนกัน ยกตัวอย่างการเป็นศิลปินในฐานะวง Room39 มันก็ยังมีขีดจำกัดบางอย่างเหมือนกัน เช่น เรื่องของสไตล์เพลง เรื่องของพื้นที่ในการทำงาน เราจะมีกรอบประมาณหนึ่ง เพื่อจะถ่วงดุลให้ผลงานโดยรวมมันสำเร็จออกมาทิศทางเดียวกัน

 

วันหนึ่งพอเราเดินทางออกจากจุดนั้น มันก็เกิดที่ว่างใหม่ว่าเราจะทำอย่างไรกับทุ่งนาตรงนี้ดีวะ (หัวเราะ) ทุ่งนาตรงส่วนที่รู้ว่ามีแต่ยังไม่เคยเข้าไปทำอะไรกับมัน ซึ่งผมมองว่ามันก็เป็นทั้งโอกาส และเป็นทั้งงานที่ยาก แต่ก็ท้าทายตัวเองด้วยเหมือนกัน

 

 

 

 

วันนี้ที่เราก้าวออกมาเป็นศิลปินเดี่ยว ไม่มีใครรู้หรอกว่าผลจะเป็นอย่างไร แต่สิ่งที่รู้แน่ๆ คือเรากำลังทำในสิ่งที่รัก เรายังได้ทำในสิ่งที่อยากทำอยู่ ดังนั้นสำหรับผม มันไม่ได้เป็นการติดลบหรือเซตศูนย์ แต่มันเป็นการเดินทางใหม่ที่น่าตื่นเต้น

 

 

ถ้าถามแทนแฟนเพลงว่าไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้แล้วหรือ

อย่างที่ผมบอกไปตั้งแต่ต้น คือผมพูดหลายอย่างได้ แต่ว่าทุกคนอาจจะไม่เข้าใจ หรือบางทีพูดออกไปแล้ว อาจจะมีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ดังนั้นผมขอพูดในจุดที่ว่า สำหรับผม ผมไม่ได้เลือกที่จะแยก ถ้าเลือกได้ผมจะไม่แยก สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้มันไม่ใช่ความตั้งใจของเรามาตั้งแต่แรก และในความเป็นจริง ทุกอย่างมันไม่ได้อยู่ที่เราคนเดียว แต่ยังมีปัจจัยแวดล้อมอะไรอีกหลายๆ อย่าง ซึ่งเราไม่อยากไปคิด และไม่อยากให้ทุกคนมานั่งคิดด้วย เพราะหลายๆ สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตคนเรา บางทีเราก็หาคำตอบไม่ได้ทั้งหมด และคำตอบของแต่ละคนเองก็ย่อมไม่เหมือนกัน ฉะนั้นในเมื่อทุกอย่างมันมาถึงจุดนี้แล้ว เราก็แค่ต้องโฟกัสกับปัจจุบันว่าเราจะทำอย่างไรต่อกับชีวิต

 

จริงๆ ผมเสียดายนะ แต่ก็เหมือนดังคำที่เขาพูดกันว่า “สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นย่อมดีเสมอ” ดังนั้นผมก็เลยไม่เสียใจ เพราะถ้าเรามัวแต่มานั่งเสียดายหรือเสียใจ เราก็คงไม่มีแรงลุกออกมาทำอะไรต่อ ไม่มีแรงออกมาบอกกับใครๆ ว่า “สวัสดีครับ ผมเป็นศิลปินหน้าใหม่ในวัย 38 ปี” (หัวเราะ) และแม้ว่าสุดท้าย ‘แว่นใหญ่’ ในฐานะศิลปินเดี่ยวทำเพลงออกมาแล้วคนจะไม่สนใจ แต่สำหรับผมการยังได้ทำในสิ่งที่รักมันสำคัญกว่า ส่วนสิ่งที่ตามมาพวกชื่อเสียงเงินทอง ถึงแม้มันจะสำคัญ แต่สำหรับผมมันไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด

 

ขอสักหนึ่งเรื่องราวมิตรภาพ หนึ่งบทเรียนในฐานะสมาชิกวง Room39 ก่อนที่เราจะเดินทางต่อบนเส้นทางของตัวเองนับจากนี้

ทุกคนที่ได้พบเจอ เขาเป็นครูเป็นบทเรียนของเรา ส่วนมิตรภาพระหว่างทางเราได้เจอสิ่งดีๆ ได้ไปหลายๆ ที่ในโลกที่ไม่เคยไป เราได้เจอมิตรภาพที่มาจากผู้คนที่ชื่นชม มิตรภาพที่มาจากการทำงานร่วมกัน หลายๆ อย่างมันมีคุณค่า และจะอยู่ในใจเราเสมอ

 

การได้เป็นศิลปินใน Room39 มันเกินกว่าฝันมาเยอะมากแล้วสำหรับผม หลังจากตรงนั้นมันก็คือกำไรแล้ว กำไรที่เรายังได้ทำในสิ่งที่รัก และยังมีกลุ่มคนที่เชื่อในสิ่งที่เราทำอยู่บ้าง ตรงนี้ทำให้ผมมีความสุข

 

บทเรียนที่เรียนรู้อีกอย่างหนึ่งคือ ทุกอย่างคือความเปลี่ยนแปลง และเรารู้ความจริงข้อนี้มาเสมอ ดังนั้นสำหรับผมสิ่งที่เกิดขึ้นกับ Room39 มันไม่ใช่สิ่งใหม่ แต่มันทำให้เราได้เรียนรู้ว่าเราควรทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเสมอ ในวันที่คุณยังทำได้ แล้วคุณจะไม่เสียใจ เมื่อเวลามันผ่านไป

 

 

“จริงๆ แล้วเราไม่ได้สำคัญหรอก ผลงานเราต่างหากที่สำคัญ ในวันที่เราสร้างงานออกมาแล้วมีคนเดินมาบอกว่า เฮ้ยชอบ นั่นเขาไม่ได้ชอบเรานะ แต่เขาชอบผลงานของเรา เราต้องแยกให้ออก”

 

จำเช้าแรกของการไม่ได้เป็น Room39 ได้ไหม ชีวิตเป็นอย่างไรบ้าง

ชีวิตยังเหมือนเดิม มันก็มีบ้างที่เรากังวลใจ สมมติคุณจะเปิดกิจการอะไรสักอย่างแล้วก็คิด เอ๋ เราจะเจ๊งไหมนะ คือผมว่าเมื่อวันที่เราร่วงลงมาจากเหวแล้วไปอยู่บนพื้น ความรู้สึกหนึ่งคือเจ็บ แต่อีกความรู้สึกหนึ่งคือ เออ ก็ดี เพราะมันคือจุดล่างสุดของมันแล้ว มองเป็นข้อดีคือมันจะไม่ต่ำลงไปกว่านั้นแล้ว หลังจากนั้นก็จะค่อยๆ คิดว่าเราจะปีนมันขึ้นไปต่ออย่างไร

 

อันนี้ผมแค่จะเปรียบเทียบความรู้สึกนะ เพราะความจริงที่ผ่านมา ผมไม่เคยมองว่าตัวเองเป็นซูเปอร์สตาร์หรืออะไร เราแค่เป็นคนที่ชอบทำงาน และเราดีใจที่ได้ทำงานที่เรารัก ใครมอบคำชมให้เราก็ดีใจ ใครไม่ชอบไม่เห็นด้วยเราก็ไม่ได้ว่าอะไร ผมก็เลยเป็นคนที่ไม่ค่อยได้ฟูฟ่องกับความรู้สึกของการเป็นคนสำคัญ เพราะผมรู้ตัวว่า ผมไม่ได้สำคัญขนาดนั้นอยู่แล้ว

 

สำหรับผมจริงๆ แล้วเราไม่ได้สำคัญหรอก ผลงานเราต่างหากที่สำคัญ ในวันที่เราสร้างงานออกมาแล้วมีคนเดินมาบอกว่า เฮ้ยชอบ นั่นเขาไม่ได้ชอบเรานะ แต่เขาชอบผลงานของเรา เราต้องแยกให้ออก

 

ถ้าอย่างนั้นความรู้สึกของการเป็นศิลปินเดี่ยวล่ะ เหมือนๆ หรือรู้สึกต่างไปจากเดิมไหม

ผมว่าผมก็คือคนเดิมนะ บางคนบอกว่าเพลงก็เหมือน Room39 ก็ใช่ครับ เพราะตอนทำวง Room39 เพลงส่วนใหญ่ผมก็เขียน (หัวเราะ) ผมเคยลองคิดเหมือนกันว่า เฮ้ย เราต้องหลบตัวเอง แต่การหลบตัวเองมันคือการวิ่งหนีเงาตัวเองหรือเปล่าวะ งั้นเราก็ทำเพลงแบบที่เป็นตัวเองนี่แหละ แต่ลองใช้พื้นที่นาที่กว้างขึ้นนี้ปลูกต้นไม้อื่นๆ เพิ่มขึ้นบ้างก็ได้ อาจจะขุดบ่อเลี้ยงปลา มีพื้นที่ให้ทดลองมากขึ้น เปิดมุมมองที่คนอื่นอาจจะยังไม่เคยรู้ให้กว้างขึ้น คนอาจจะไม่รู้ว่าผมชอบเพลงโฟล์กด้วย แล้วผมก็แอบมีมุมความเป็นฮิปฮอปอยู่ในใจเล็กๆ ด้วย เพียงแต่ว่าที่ผ่านมาอาจจะไม่เคยปลดปล่อยมันออกมา

 

(คิด) จริงๆ ก็ตื่นเต้นดีครับ ไม่ค่อยชิน แต่ก็พร้อมที่จะเรียนรู้ ผมว่าก็ไม่ได้เลวร้าย อย่างที่บอกว่ามันดีแค่ไหนแล้วที่ยังได้ทำอะไรอยู่ ยอมรับนะว่าเขินบ้างเพราะว่าที่ผ่านมาเราไม่ได้เป็นฟรอนต์แมน เรามีน้องคอยอยู่ด้วยกันตลอด พอวันหนึ่งไม่มีก็รู้สึกโหวงเหวงบ้าง อาจจะยังไม่คุ้นชิน แต่สักวันหนึ่งก็คงชิน

 

ถ้าอย่างนั้นทำไมถึงเลือกเปิดตัวในฐานะศิลปินเดี่ยว ไม่ทำกับมนต่อ (ชุติมน วิจิตรทฤษฎี หนึ่งในสมาชิกวง Room39)

ผมคุยกับมนหลายรอบเหมือนกัน จริงๆ อยากจะทำเหมือนกัน แต่สุดท้ายมนตัดสินใจว่าแยกกันออกผลงานในฐานะศิลปินเดี่ยวดีกว่า แต่ถึงอย่างนั้นเราก็จะยังขายงานโชว์ไปด้วยกัน เวลาไปงานตามสถานที่ต่างๆ ก็จะมีผมกับมนแพ็กคู่ไป

 

แต่โดยภาพรวมด้วยความที่มนเขาแต่งงานแล้ว เขามีแผนว่าวันหนึ่งจะมีลูก ถ้าจะมีลูกแล้วเรายังเป็นศิลปินที่ต้องผูกติดกันอยู่ วันหนึ่งมนไปไม่ได้แน่นอนเพราะตั้งครรภ์อยู่ ถึงตอนนั้นเราก็จะลำบากอีก เราก็เลยตัดสินใจกันว่าอย่างนั้นแยกกันเป็นศิลปินเดี่ยว เพราะวันหนึ่งที่มนไปไม่ได้ อีกคนจะได้ไม่มีผลกระทบอะไร ซึ่งมันก็สมเหตุสมผล

 

เล่าถึงซิงเกิลแรก เจ็บจนพอ ให้เราฟังหน่อย ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร

ปกติเวลาผมทำงานแต่งเพลง ผมมักจะต้องให้โจทย์ตัวเองบ้าง หรือบังคับตัวเองบ้าง ไม่อย่างนั้นเราจะไม่ทำ เช่น ลองเขียนเพลงนี้ขึ้นมา โดยให้โจทย์ตัวเองว่า ขึ้นต้นด้วย ‘คำนี้’ หรือในฮุกจะต้องมี ‘คำนี้’

 

 

ครั้งหนึ่งเคยตั้งโจทย์กับตัวเองว่า ไหนลองเขียนเพลง คนข้างล่าง (ศิลปิน เบน ชลาทิศ เนื้อร้องและทำนองโดย บอย โกสิยพงษ์) ในแบบของคุณสิ มันก็เลยออกมาเป็นเพลง คนละชั้น ที่ เจ้านาย-จินเจษฎ์ วรรธนะสิน เป็นคนร้อง

 

ถ้าลองย้อนกลับไปดูมิวสิกวิดีโอเพลง คนข้างล่าง พี่ติ๊ก เจษฎาภรณ์ เขานั่งอยู่ตรงระเบียง แล้วเขาก็มองนางเอกที่อยู่อีกชั้นหนึ่ง อยู่ตรงชั้นบน พี่ติ๊กเขาก็เลยเป็นคนข้างล่าง เพราะเขาคนละชั้นกัน มันก็เลยกลายเป็นไอเดียให้กับเรา เราก็เลยใส่กิมมิกลงไปในเนื้อเพลงว่า

 

 

“นั่งมองดูตัวเราเอง

นั่งฟังเพลงประจำตัวเรา

ฟังแต่เพลงคนข้างล่างทุกวัน”

 

ผมพยายามเล่าให้ฟังว่าการเกิดขึ้นของแต่ละเพลงมันคือการตั้งโจทย์ให้ตัวเอง กลับมาที่เพลง เจ็บจนพอ มันก็คือการตั้งโจทย์ให้กับตัวเองว่า หลังจากเพลง เป็นทุกอย่าง แล้วมันเกิดอะไรขึ้นวะ การที่เราเป็นทุกอย่างให้กับใครสักคนไปนานๆ เนี่ย แล้วมันจะเป็นอย่างไร จุดจบของมันคืออะไรวะ เพราะว่าเราไม่เคยนึกเลยว่า ไม่มีใครอยู่กับความรู้สึกว่า เป็นทุกอย่างให้ใครได้ไปตลอดกาล

 

ผมก็เลยนั่งนึกว่าแล้วคนที่เขาต้องอยู่กับการเป็นทุกอย่างเขารู้สึกอย่างไร สิ่งเหล่านี้ยังรวมไปถึงวิธีการร้องแบบอ็อกเทฟ (octave) ด้วยก็จะถูกนำมาใช้ในเพลงนี้เช่นเดียวกัน

 

ในเพลงจะมีอยู่ท่อนหนึ่งที่บอกว่า “ไม่รู้…หัวใจฉัน เหลือที่ว่างให้เธอได้อีกกี่แผล” มันคือการสื่อว่า มันไม่มีพื้นที่อยู่อีกแล้วนะ ฉันอยู่กับความรู้สึกแบบนี้ไปนานๆ ผมเรื้อรังจนรู้สึกว่าเจ็บจนพอแล้วดีกว่า

 

 

“ความเป็นจริงของมนุษย์ แต่ละโมเมนต์ของแต่ละคนมันมีเพลงที่ก้องกังวานอยู่เสมอ แล้วสิ่งเหล่านี้นี่แหละที่มันทำให้ MV ดูเป็นชีวิตมนุษย์จริงๆ ขึ้นมา และเพลงแต่ละเพลงมันแทนความรู้สึกของคนในช่วงเวลาหนึ่ง”

 

ทำไมพวกคุณถึงชอบทำเพลง ทำมิวสิกวิดีโอให้ต่อเป็นจักรวาลเดียวกันนักครับ

คือจริงๆ ตั้งแต่เป็น Room39 แล้ว ที่เรารู้สึกว่าอยากให้คนฟังเพลงรู้ว่า ถึงศิลปินวงนี้ ถึงแต่ละเพลงคนร้องอาจจะเป็นคนละคน แต่เรื่องราวมันคือวงเดียวกัน เมสเสจในเรื่องราวต่างๆ มันต่อกัน เพราะเราคือวง Room39

 

แต่พอมาถึงตอนนี้ที่เราเป็นศิลปินเดี่ยว เชื่อไหมว่า ความรู้สึกคือเราเป็นคนเขียนเพลง ทุกๆ เรื่องสำหรับเรามันมีความเชื่อมโยงกัน เพราะในความเป็นจริงของมนุษย์ เพลงเดียวมันไม่ได้จบแค่ตรงนั้น หรือในโมเมนต์เดียวกัน ผมเชื่อว่าคนหนึ่งคนร้องเพลงหนึ่ง อีกคนหนึ่งอาจจะกำลังร้องเพลงหนึ่งอยู่ เพราะฉะนั้นในบทเพลงเดียวกัน แต่ละคนจึงมีความรู้สึกต่อเพลงนั้นๆ ไม่เหมือนกัน

 

ดังนั้นสิ่งที่ผมเชื่อมาตลอดก็คือ ความเป็นจริงของมนุษย์แต่ละโมเมนต์ ของแต่ละคนมันมีเพลงที่ก้องกังวานอยู่เสมอ แล้วสิ่งเหล่านี้นี่แหละที่มันทำให้ MV ดูเป็นชีวิตมนุษย์จริงๆ ขึ้นมา และเพลงแต่ละเพลงมันแทนความรู้สึกของคนในช่วงเวลาหนึ่ง

 

เพลงที่ดังกังวานอยู่ในชีวิตตอนนี้คือเพลงแบบไหน

เพลงในชีวิตตอนนี้เหรอ…มีเพลงหนึ่งแต่ผมบันทึกเสียงเสร็จแล้ว แต่ยังไม่ได้ปล่อยออกมา ชื่อเพลง ลืมไป ซึ่งก็เป็นเมสเสจเดียวกันกับทุกๆ เรื่องที่ผมพยายามจะเล่าก็คือ เราจะไม่ลืมไปว่าเราได้ทำทุกๆ อย่างอย่างดีที่สุดกับทุกคนแล้ว เพราะว่าเราไม่สามารถซื้อเวลาที่ผ่านมาแล้วกลับมาได้ ดังนั้นเราเลยอยากจะมั่นใจว่า จะไม่ลืมว่าในทุกๆ โมเมนต์ที่เราใช้ชีวิตกับใครก็ตาม ไม่ว่าจะกับเพื่อน พี่ น้อง หรือสัตว์เลี้ยงของเราก็ตาม เราได้แสดงความรักกับเขาอย่างดีที่สุดแล้ว

 

เราชอบเพลงนี้มากเลย เพราะเรารู้สึกว่าหลายๆ คนหรือแม้กระทั่งตัวผมเอง เราใช้เวลากับการวิ่งไล่ตามความฝัน ใช้เวลากับการสร้างสิ่งที่เราคิดว่าจะสร้างความสุขให้กับชีวิตเราและคนรอบข้างโดยลืมไปว่าไอ้ความสุขมันเกิดขึ้นจากโมเมนต์ที่คุณหันมาเจอกัน แล้วคุณทำอะไรให้กัน แล้วในทุกๆ โมเมนต์เหล่านั้นมันมีค่า เพราะว่ามันจะผ่านไป แล้วคุณไม่รู้ว่าโมเมนต์สุดท้ายคือเมื่อไร ซึ่งถ้ามันผ่านไปแล้วล่ะ…  

 

 

 

สำหรับผม สิ่งที่เกิดขึ้นกับ Room39 มันไม่ใช่สิ่งใหม่ แต่มันทำให้เราได้เรียนรู้ว่า เราควรทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเสมอ ในวันที่คุณยังทำได้ แล้วคุณจะไม่เสียใจ เมื่อเวลามันผ่านไป

 

นอกจากงานศิลปินเดี่ยว ตอนนี้ก็ยังเป็นผู้บริหารค่ายเพลง Holy Fox อีกด้วย

โอ้โห เวลามีคนเรียกผมว่าเป็นผู้บริหาร ผมไม่ชินเลยอะ เพราะคำว่าผู้บริหาร เราจะนึกถึงภาพคนที่ใส่เสื้อเชิ้ต ผูกไท ฉะนั้นเรียกผมว่าเป็นคนที่มาช่วยดูแลน้องๆ ทั้งศิลปินที่เรารู้จักอยู่แล้ว และศิลปินที่เรายังไม่เคยรู้จัก คือเราก็ทำงานแบบเดิมของเราแหละ เพียงแต่เรามาช่วยทำให้กับทุกๆ คนที่อยู่กับเราด้วย แต่ผมจะระวังตัวตลอด เพื่อไม่ให้ความเป็นตัวเองไปปนเปื้อนเขาเยอะจนเกินไป แม้ว่าเราอาจจะต้องแต่งเพลงให้เขา แต่เราจะเลือกแตะให้น้อย แล้วดึงวัตถุดิบจากเขามาให้เยอะ พูดตามตรงว่าไม่ง่าย และผมก็ไม่รู้ว่ามันจะไปถึงตรงไหน (หัวเราะ) เพราะว่าก็เป็นสิ่งใหม่เหมือนกัน สิ่งใหม่พอๆ กับการเป็นศิลปินหน้าใหม่

 

ถ้าเรียกผมว่าเป็นผู้บริหาร ผมจะเป็นผู้บริหารที่…พยายามจะไม่ไปยัดเยียดหนทางแห่งความสำเร็จในแบบเดียวกันกับที่เราเคยทำ ไปให้คนอื่น ฉะนั้นจะช่วยอะไรผมก็จะช่วยได้ไม่มาก เราจะไม่ช่วยก็ไม่ได้ มันคือการหาบาลานซ์ในการที่เราจะยื่นมือเข้าไปในบางจังหวะเท่านั้น

 

ตรงนั้นแหละคือสิ่งที่ผมรู้สึกว่ามันไม่ง่ายเลย แล้วก็ไม่ได้มั่นใจ แต่รู้ว่าถ้าเราได้แตะมือกับใครแล้ว เราจะทำมันอย่างเต็มที่ เราจะพาเขาเดินไปข้างหน้าด้วยความเชื่อว่าเขาทำได้ แม้ในวันที่ตัวเขาเองจะยังไม่เชื่อว่าทำได้ ผมก็จะไม่ปล่อยมือ

 

ทุกวันนี้คนเรามักจะอัปเดตความคิด ความรู้สึกกันผ่าน ‘สเตตัส’ ถ้าให้คุณอัปเดตความคิด ความรู้สึกล่าสุดไปถึงผู้คน แฟนเพลง คุณอยากจะสื่อสารอะไรไปถึง

ผมชอบพูดอะไรเดิมๆ เลยอยากจะบอกว่า ขอบคุณนะครับ ขอบคุณ Room39 ขอบคุณทุกคนที่เคยเป็นแฟนเพลง ขอบคุณที่ให้โอกาส ขอบคุณคนที่เคยเดินร่วมทางกันมา สำหรับประสบการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้น จากนี้ขอให้ทุกคนเอาใจช่วยผมในการจะเดินต่อไป กับทางที่ไม่รู้ว่าข้างหน้าจะเป็นอย่างไรเหมือนกัน เช่นเดียวกัน ผมขอให้ทุกคนที่ได้เข้ามาอ่านพบเจอกับทางที่ดี ขอให้พบเจอแต่ความสุขในทุกๆ วันของชีวิต

 

 

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X