นักลงทุนทั่วโลกต่างจับตามองความเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันในรอบสัปดาห์นี้ หลังจากที่ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาราคาน้ำมันดิบขยับเพิ่มสูงขึ้น รับความต้องการใช้ที่มากขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก แต่กำลังการผลิตยังคงเป็นไปอย่างจำกัด ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญเชื่อ น้ำมันยังคงเป็นแหล่งพลังงานหลักที่จำเป็นต่อโลกต่อไป แม้จะมีกระแสเรียกร้องให้ยุติการใช้น้ำมันเพื่อแก้ปัญหาโลกร้อน
ทั้งนี้ หลังราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นแตะระดับ 80 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในช่วงสัปดาห์ที่แล้ว ส่งผลให้หลายฝ่ายต่างจับตามองทิศทางราคาน้ำมันในรอบสัปดาห์นี้อย่างใกล้ชิด โดยผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันน่าจะเข้าสู่ช่วงขาขึ้น เนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันในหลายประเทศทั่วโลกยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่กำลังการผลิตเป็นไปอย่างจำกัด
โดยกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ของโลก หรือ OPEC ประเมินว่าจำเป็นต้องใช้เงินมากถึง 11.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในการลงทุนยกระดับการผลิตน้ำมันตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ เพื่อให้สามารถผลิตน้ำมันตอบสนองความต้องการของตลาดยาวไปจนถึงปี 2045 ได้
ขณะเดียวกัน แม้หลายประเทศทั่วโลกจะพยายามรณรงค์ผลักดันให้ลดการใช้น้ำมัน แต่ผู้เชี่ยวชาญส่วนหนึ่งรวมถึงผู้ผลิตน้ำมันกลับเห็นว่าตำแหน่งของน้ำมันในตลาดโลกในฐานะแหล่งพลังงานสำคัญยังคงไม่เปลี่ยนแปลง โดยคาดว่าจะมีสัดส่วนความต้องการใช้จากทั่วโลกอยู่ที่ 28% จากความต้องการใช้พลังงานทั้งหมดในปี 2045
ทั้งนี้ ไม่เพียงแต่ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น แหล่งพลังงานอื่นๆ อย่างก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน และไฟฟ้า ต่างปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากเช่นกัน ส่งผลให้รัฐบาลในหลายประเทศทั่วโลกต้องเร่งหามาตรการรับมือ
รายงานระบุว่า คณะกรรมาธิการยุโรปเตรียมหารือกับสมาชิกกลุ่มยูโรโซนในวันนี้ (4 ตุลาคม) เกี่ยวกับราคาพลังงาน โดยเฉพาะก๊าซธรรมชาติที่ทุบสถิติสูงสุดระลอกใหม่ เนื่องจากหวั่นเกรงว่าราคาพลังงานที่พุ่งขึ้นอาจจะส่งผลให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจชะลอลง กระทบต่อการตัดสินใจลงทุน และส่งผลกระทบต่อกลุ่มประชาชนที่ยากจนที่สุด
ด้านรัฐบาลจีนยังคงต้องเดินหน้าเร่งหามาตรการแก้ไขการขาดแคลนพลังงานจนทำให้เกิดไฟฟ้าดับในหลายมณฑล เบื้องต้นมีการประกาศขึ้นราคาค่าไฟที่ใช้ในภาคอุตสาหกรรม พร้อมประกาศจับตามองสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถตอบสนองได้อย่างเหมาะสม โดยคาดการณ์ว่าอาจต้องปรับราคาพลังงานที่ใช้ในครัวเรือน หากว่าความต้องการใช้ไม่ลดลง เพื่อแก้ปัญหาซัพพลายขาดแคลน
ความต้องการใช้พลังงานที่เพิ่มสูงขึ้นยังมีขึ้นท่ามกลางกระแสเรียกร้องให้ลด ละ เลิก การใช้น้ำมัน ถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติ เพื่อหันมาใช้พลังงานสะอาดกันมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม สถานีโทรทัศน์ CNN รายงานว่า บรรดาบริษัทผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ในสหรัฐฯ ต่างร่วมมือหาทางต้านทานแผนรับมือภาวะโลกร้อน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ Build Back Better ของประธานาธิบดีโจ ไบเดน มูลค่ารวม 3.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้บริษัทผู้ผลิตน้ำมันพร้อมใจควักเงินซื้อโฆษณา โดยเฉพาะสื่อออนไลน์อย่าง Facebook ในการรณรงค์เรียกร้องมาตรการพลังงานของผู้นำสหรัฐฯ
รายงานระบุว่า บริษัทผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ในสหรัฐฯ ต่างทุ่มกำลังรณรงค์ให้ทั่วโลกหันมาให้ความสำคัญของการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ มากกว่าการมุ่งไปที่การลดใช้พลังงาน โดยนับตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ทางสถาบันน้ำมันปิโตรเลียมแห่งสหรัฐฯ หรือ American Petroleum Institute (API) ใช้เงินแล้วอย่างน้อย 4.23 แสนดอลลาร์สหรัฐ ซื้อโฆษณาเพื่อดำเนินการคัดค้านการเลิกการใช้พลังงานไฟฟ้าจากถ่านหินหรือก๊าซธรรมชาติ และลดการพึ่งพาพลังงานน้ำมัน ขณะที่ ExxonMobil ผู้ผลิตน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ จัดงบอย่างน้อย 1.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เข้าซื้อโฆษณาใน Facebook เช่นเดียวกับกับ Chevron ที่ใช้งบกว่า 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซื้อโฆษณาในสื่อออนไลน์
อ้างอิง:
- https://www.aljazeera.com/economy/2021/10/1/global-energy-crunch-us-burnout-and-opecs-no-1-call
- https://edition.cnn.com/2021/10/03/business/climate-biden-oil-reconciliation/index.html
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
- Twitter: twitter.com/standard_wealth
- Instagram: instagram.com/thestandardwealth
- Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP