ราคาน้ำมันดิบที่ขยับขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่เดือนเมษายน หลังผ่านการพักฐานช่วงสั้น จนล่าสุดราคาน้ำมันดิบ WTI ขยับขึ้นมายืนเหนือ 72 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เทียบกับเมื่อต้นปีซึ่งอยู่ที่ราว 50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ทั้งนี้ ทิศทางของราคาน้ำมันดิบโลกดูเหมือนจะยังอยู่ในโมเมนตัมเชิงบวกต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่กลุ่มผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่อย่าง OPEC+ ยังคงตัดสินใจควบคุมปริมาณการผลิตต่อไป
จากข้อมูลที่ THE STANDARD WEALTH ได้นำเสนอไปก่อนหน้านี้ ซึ่งสะท้อนว่ามีโอกาสที่ราคาน้ำมันดิบจะกลับไประดับ 80-100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล นับจากวันนั้น (7 มิถุนายน) ราคาน้ำมันดิบยังคงปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง
จักรพงศ์ เชวงศรี ผู้อำนวยการอาวุโส บล.กสิกรไทย เปิดเผยว่า มุมมองต่อทิศทางราคาน้ำมันดิบในขณะนี้ยังคงเป็นเช่นเดิม คือราคามีโอกาสจะขยับขึ้นต่อเนื่องไปจนถึงช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม 2564 ด้วยความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ปริมาณการผลิตของผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่สามารถคาดการณ์ได้ค่อนข้างแน่นอน ทำให้ความต้องการใช้จะยังคงมากกว่าปริมาณการผลิตต่อไป
ทั้งนี้ ราคาหุ้นในกลุ่มน้ำมันและโรงกลั่นเริ่มฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้อีกครั้ง หลังจากที่หุ้นเหล่านี้ถูกเทขายออกไปในช่วงที่นักลงทุนสลับเข้าไปซื้อกลุ่มหุ้นที่อิงกับการเปิดประเทศในช่วงที่ผ่านมา
“แม้หุ้นกลุ่มพลังงานเหล่านี้จะถูกขายออกมา แต่ในเชิง Fundamental ยังแข็งแกร่งตามราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น แต่การจะเข้าลงทุนในกลุ่มนี้อาจต้องเลือกมากขึ้น โดยกลุ่มที่จะได้ประโยชน์โดยตรงจากราคาน้ำมันคือกลุ่มต้นน้ำ อย่าง PTT และ PTTEP เช่นเดียวกับกลุ่มโรงกลั่นที่จะได้ประโยชน์จากดีมานด์ที่ฟื้นตัว”
ในขณะที่กลุ่มปิโตรเคมีซึ่งปรับขึ้นมาแรงก่อนหน้านี้ อาจถูกกดดันจากส่วนต่างราคา (Spread) ที่ลดลง หลังจากที่ต้นทุนน้ำมันเริ่มสูงขึ้น และกดดันจากกำลังการผลิตใหม่ที่เข้ามาเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม กำไรของกลุ่มปิโตรเคมีจะยังโดดเด่นในไตรมาส 2 เพราะฉะนั้นอาจจะเล่นเก็งกำไรในส่วนของงบการเงินได้ แต่หลังจากนั้นน่าจะผ่านจุดพีกรอบใหญ่ไปแล้ว
“โดยภาพรวมหุ้นกลุ่มพลังงานจะยังคงอยู่ใน Sentiment เชิงบวกต่อไปในทิศทางเดียวกันกับราคาน้ำมัน แต่อาจจะมีแรงขายทำกำไรออกมาในช่วงไตรมาส 3 นี้ แต่หากมองยาวไปกว่านั้น ถือว่าพื้นฐานของหุ้นกลุ่มนี้ยังค่อนข้างดี และมีโอกาสที่จะโดดเด่นต่อไปจนถึงไตรมาส 4 หรือต้นปี 2565 ซึ่งเป็นช่วงพีกของความต้องการใช้น้ำมันในช่วงฤดูหนาว”
ด้าน ศรชัย พิทยาพฤกษ์ นักวิเคราะห์ บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุว่า ราคาน้ำมันดิบที่ปรับขึ้นเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นพลังงานในกลุ่มต้นน้ำ โดยที่ OPEC+ ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อความต้องการใช้น้ำมัน ขณะที่กลุ่มโรงกลั่นมีมุมมองเป็นกลาง เนื่องจากค่าการกลั่นทรงตัวได้จากสัปดาห์ก่อน
ขณะที่กลุ่มปิโตรเคมีค่อนข้างแย่สุด เพราะส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปรับตัวลงเกือบทั้งหมด นำโดยโอเลฟินส์ ที่ถูกกดดันจากความต้องการใช้ในจีนลดลงต่อเนื่อง รองลงมาคืออะโรเมติกส์ ซึ่งซัพพลายในสหรัฐฯ กลับมากดดัน ขณะที่โพลีเอสเตอร์ไม่มีแรงหนุนของไฮซีซัน
สำหรับแนวโน้มกำไรช่วงไตรมาส 2 ไม่รวมผลจากกำไรและขาดทุนพิเศษจากสต๊อกน้ำมัน เชื่อว่ากำไรของหุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีจะเพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรก หนุนจากอัตรากำไรที่ดีขึ้น โดยหุ้นที่น่าจะมีกำไรไตรมาส 2 โดดเด่นสุดคือ PTTEP ถัดมาเป็น PTTGC ไม่ว่าจะมองกำไรพิเศษจากสต๊อกน้ำมันเข้ามารวมด้วยหรือไม่
ทั้งนี้ คาดว่ากำไรปกติของกลุ่มจะเพิ่มขึ้น 190% จากปีก่อน จากผลกระทบของโควิด-19 ที่ลดลง กำลังการผลิตใหม่ที่เข้ามาหนุน การปิดซ่อมลดลง และไม่มีผลขาดทุนจากสต๊อกก้อนใหญ่เข้ามาฉุด มองหุ้นเด่นในกลุ่มคือ TOP และ PTT
พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล