ราคาน้ำมันในปัจจุบันปรับตัวขึ้นใกล้แตะระดับสูงสุดเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว จากความคาดหวังของตลาดที่คาดว่าการลดปริมาณการผลิตจากบรรดาผู้นำกลุ่ม OPEC+ จะทำให้ตลาดน้ำมันตึงตัวขึ้น
ตลาดน้ำมันเริ่มส่งสัญญาณเข้มงวดขึ้น หลังราคาน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้นแตะระดับ 85 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยราคาเพิ่มขึ้นมากว่า 7% ตั้งแต่สัปดาห์ก่อน
ทั้งนี้ รัสเซียหนึ่งในผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลกและผู้นำกลุ่ม OPEC+ ประกาศขยายมาตรการควบคุมการส่งออก โดยรายละเอียดเพิ่มเติมจะเปิดเผยในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ขณะที่ซาอุดีอาระเบียซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำของกลุ่มพันธมิตร OPEC+ เช่นกันนั้น ต่างมีแนวโน้มจะดำเนินนโยบายตามรอยรัสเซียเช่นกัน ทำให้นักลงทุนต่างคาดหวังว่าการควบคุมการผลิตจะถูกดำเนินไปจนถึงเดือนตุลาคม
สภาวะตลาดน้ำมันเริ่มดีขึ้นในไตรมาส 3 ปีนี้ หลังจากซบเซาในครึ่งปีแรก เนื่องจากอุปทานที่ลดลงแสดงถึงสัญญาณของการปรับสมดุลภายในตลาด ทั้งสต๊อกน้ำมันของสหรัฐอเมริกายังลดลงอย่างต่อเนื่อง และน้ำมันดิบสหรัฐฯ อาจได้รับแรงหนุนจากการคาดการณ์ในตลาดถึงจุดสิ้นสุดของฤดูกาลอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น เช่นเดียวกับความพยายามของจีนในการสนับสนุนการเติบโตอาจเริ่มเห็นเป็นรูปร่างแล้วเช่นกัน
Zhou Mi นักวิเคราะห์จาก Chaos Research Institute กล่าวว่า อุปทานจะตึงตัวมากขึ้น หากซาอุและพันธมิตรไม่กลับแผนลดกำลังการผลิต ราคาน้ำมันในขณะนี้มีแนวโน้มขยับไปถึง 90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ด้านแนวโน้มอุปสงค์เป็นไปในทิศทางบวก
ขณะที่ Russell Hardy ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของกลุ่ม Vitol Group เปิดเผยในงาน APPEC ซึ่งจัดขึ้นโดย S&P Global Commodity Insights ว่าการปรับลดกำลังการผลิตของบรรดาผู้นำ OPEC+ ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ แม้ว่าการคว่ำบาตรของอิหร่านจะผ่อนคลายลงแล้ว แต่การส่งออกก็ไม่ได้ถูกกระทบกระเทือนมากนัก
ดัชนีพื้นฐานของตลาดที่เกี่ยวข้องกับการค้าน้ำมันต่างชี้ไปที่ความคาดหวังสำหรับเงื่อนไขที่เข้มงวดมากขึ้นในหมู่นักลงทุน ส่วนต่างระหว่างสัญญาส่งมอบน้ำมันที่ใกล้เคียงที่สุด 2 สัญญาของ WTI เพิ่มขึ้นเป็น 84 เซนต์ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้นจาก 43 เซนต์ต่อบาร์เรลเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ถือเป็นสัญญาณเชิงบวกต่อทิศทางราคาน้ำมัน
อ้างอิง: