ตอนที่ 1: การทะเลาะกันที่เป็นส่วนสำคัญในการเดินทาง การกำหนดทิศทาง และชะตากรรมของวง
สิ่งเดียวที่สามารถทำลายล้างความแข็งแกร่งของตระกูลทาร์แกเรียนลงได้ นั่นก็คือ ‘ความแตกแยกจากภายในตัวของมันเอง’ นี่คือคำโปรยเนื้อหาสำคัญในฉากเปิดมหากาพย์ซีรีส์ House of the Dragon (ใช่แล้ว คุณไม่ได้อ่านบทความผิดเรื่องแต่อย่างใด)
ตระกูล Gallagher แห่ง(อราช)วง Oasis ก็เช่นกัน ถึงแม้ว่ากรณีของสองพี่น้อง Noel และ Liam จะเรียกว่าแข็งกร้าวมากกว่าแข็งแกร่ง บริบทชีวิตที่เติบโตจากครอบครัวชนชั้นกรรมาชีพอันห่างไกลจากความเป็นราชนิกุลนัก พวกเขาไม่ได้มีมังกรพ่นไฟ แต่พร้อมจะพ่นสุนัขออกจากปากได้ทุกเมื่อ และเป็นสุนัขบ้าล่าเนื้อพันธุ์แทร่เสียด้วยสิ สังเกตจากถ้อยคำที่สองพี่น้องสรรหามาแต่ละคำช่างเจ็บแสบสไตล์คน IQ สูงลิ่ว แต่ EQ ต่ำเรี่ย ทว่าปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นมาโดยตลอดก็เป็นเพราะทั้งคู่เลือกที่จะพ่นสุนัขใส่กันเองมากกว่าที่จะพ่นออกไปหาอริราชศัตรูนอกบ้านนี่แหละ จนนำมาสู่การจบสิ้นของวง Oasis ในปี 2009 ในที่สุด
ภาพ: Oasis / Facebook
ว่าแต่การตบตีกันของ Noel และ Liam นั้นสำคัญไฉน เหตุใดจึงเป็นที่สนใจของสื่อมวลชนและแฟนเพลงทั่วโลกมาตั้งแต่ยุครุ่งเรืองของวง จนมาถึงยุคหลังจากที่วงล่มสลายไปแล้วก็ยังจิกกัดกันผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียมาโดยตลอด โดยเฉพาะ Liam ที่มักเป็นฝ่ายยั่วแหย่ Noel ผ่านทาง X เป็นกิจวัตร
ทั้งหมดนี้เป็นประเด็นน่าขบคิดให้มาถกและถลกกัน ณ ที่นี้นั่นเอง เพราะการทะเลาะกันของสองพี่น้อง Gallagher มีนัยสำคัญต่ออัตลักษณ์ความเป็นวงและการขับเคลื่อนทิศทางของวงตลอดมา จนกระทั่งมาถึงการล่มสลายของวง และส่งผลให้การประกาศการกลับมาเล่นคอนเสิร์ตใหญ่ร่วมกันอีกครั้งอย่างเป็นทางการในนาม Oasis ใน 15 ปีให้หลัง เมื่อวันที่ 27 สิงหาคมที่ผ่านมา ยิ่งเป็นประเด็นเซอร์ไพรส์ที่เป็นที่จับตามองของแฟนเพลงทั่วโลกยิ่งขึ้นไปอีก แย่งพื้นที่สื่อจากทุกเหตุการณ์ในโลกไปเสียอย่างนั้น ชนิดที่ว่าการดีเบตที่เผ็ดร้อนระหว่าง Donald Trump กับ Kamala Harris ยังไม่ร้อนแรงเท่าการขุดคุ้ยเหตุการณ์แสบหมาล่าคลุกพริกกะเหรี่ยงในอดีตระหว่าง Noel กับ Liam
The world keep spinning round, I don’t know why, why, why, why? เมื่อเกิดผล ย่อมต้องมีเหตุ
ภายใต้ความแข็งกร้าวและออกไปทางหยาบกระด้างของพี่น้อง Gallagher มีความเปราะบางของอดีตอันขื่นขมซ่อนอยู่ การย้อนรอยไปส่องดูสภาพครอบครัวที่เติบโตมามักจะได้คำตอบบางอย่างที่สะท้อนถึงตัวตน ณ ปัจจุบันของปัจเจกบุคคลทุกคนเสมอ กรณีของพี่น้องผยองเดชคู่นี้ก็เช่นกัน ความรุนแรงภายในครอบครัวเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้วสำหรับบ้าน Gallagher ตั้งแต่ลูกๆ ลืมตาดูโลกขึ้นมา ทั้ง Paul (พี่ชายคนโต), Noel และ Liam ต้องเป็นประจักษ์พยานตลอดมาในหลายครั้งหลายคราที่ Peggie ผู้เป็นแม่ต้องรับบทกระสอบทรายให้กับ Tommy ผู้เป็นพ่อ จนเลือดตกยางออกเป็นประจำ และอีกหลายครั้งที่ความซวยพลัดตกมายังลูกๆ โดยเฉพาะ Noel ลูกคนกลางที่โดนหนักสุด เคยถึงขั้นถูกพ่อซ้อมหนักจนปางตายมาแล้ว
จริงอยู่ที่การกระทบกระทั่งมีปากเสียงกันภายในครอบครัวเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในทุกครอบครัว แต่สำหรับครอบครัว Gallagher นั้นระดับความรุนแรงไปไกลกว่าครอบครัวทั่วไปมากมายหลายร้อยขุม จนสร้างภาพจำและจิตสำนึกที่ว่าการฟาดฟันถึงขั้นเสียเลือดเนื้อ ข้าวของพังระเนระนาด เป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว ถึงแม้ว่าท้ายที่สุด Peggie จะรวบรวมความกล้าพาลูกๆ ทั้ง 3 หนีออกมาตั้งตัวใหม่ด้วยลำแข้งตัวเองในบทบาทแม่เลี้ยงเดี่ยว แต่วิชาศิลปะการต่อสู้แบบจอมยุทธ์พังโรงน้ำชาก็ฝังลึกในสามัญสำนึกบิดๆ เบี้ยวๆ ของพี่น้อง Gallagher อย่างเกินแก้ไข ด้วยประการฉะนี้เองประวัติศาสตร์ความมันระดับโลกจึงเริ่มต้นขึ้น
เมื่อคนแมวๆ กับคนสุนัขๆ ต้องมาดวลกัน
จากปากคำของ Noel เอง เขาเล่าว่าตัวเองมีนิสัยเหมือนแมว คือ รักสันโดษและความอิสระ ไม่ชอบให้ใครมายุ่มย่ามถ้าไม่อยู่ในภาวะที่เต็มใจ ถ้าอยากเข้าสังคมเมื่อไรเดี๋ยวออกไปหาเอง ส่วน Liam นิสัยเหมือนสุนัขที่ชอบเรียกร้องความสนใจตลอดเวลา อยู่นิ่งไม่ได้ ต้องหาใครมาเล่นด้วย และเป็นสุนัขที่ไฮเปอร์กวนส้นทีนเสียด้วยสิ เมื่อมาเจอคนแมวๆ อย่าง Noel เขาจึงชอบใช้วิธียั่วแหย่ให้ Noel ทนไม่ไหว ต้องลุกขึ้นมาต่อกรด้วย ก็เข้าทาง Liam วนเป็นวงจรท็อกซิกแบบนี้มานานนม เพราะสองพี่น้องต้องแชร์ห้องนอนกันตั้งแต่เด็ก
ในช่วงวัยรุ่น Liam เคยเมามายปวดฉี่กลางดึก แต่ด้วยความมืดมนปนมักง่ายที่หาสวิตช์ไฟไม่เจอและขี้เกียจออกไปเข้าห้องน้ำ จึงปล่อยฉี่รดเครื่องเสียงสเตอริโอของรักของหวงของ Noel แบบพรมน้ำมนต์แบบทั่วๆ เสียเลย ไหนๆ ก็ถูกเปรียบเทียบว่านิสัยเหมือนสุนัขแล้ว ซึ่งทำให้ Noel โกรธมากจนไม่รู้จะชำระแค้นอย่างไร จริงๆ แล้วถ้าครอบครัว Gallagher มีโอกาสไปเที่ยวทะเลบางแสน ให้ Liam ก่อปราสาททรายขึ้นมาสักหลัง Noel อาจมีโอกาสใช้นิสัยแมวๆ แก้แค้นโดยการฉี่รดปราสาททรายเลยก็ได้ เหมือนที่แมวชอบขับถ่ายลงในกระบะทรายแล้วไถกลบจนราบเรียบ
จากปากคำของ Christine Mary Biller อดีตผู้จัดการวง Oasis ให้ความเห็นว่า “Noel เป็นคนที่มีปุ่มกดชนวนระเบิดอยู่เต็มไปหมด และ Liam ก็เป็นคนที่มีนิ้วมือซนๆ เยอะแยะที่พร้อมจะกดปุ่มเหล่านั้นตลอดเวลา” นั่นแหละคือที่มาของพฤติกรรมสุด Rock ‘n’ Roll ของคณะ Oasis
ดราม่าของจริงไม่อิงบท การมาก่อนกาลของการเล่นจริงเจ็บจริงก่อนยุคโซเชียลมีเดีย
ต้องยอมรับว่าเรื่องดราม่าตบตีกันของพี่น้อง Gallagher ในยุค 90 นั้นเป็นที่สนใจของสื่อมวลชนพอๆ กับงานเพลงของพวกเขาเลยก็ว่าได้ ในยุคที่โทรทัศน์มีให้ดูไม่กี่ช่อง อินเทอร์เน็ตยังไม่เป็นสาธารณูปโภคในครัวเรือน สิ่งที่มันกว่าซีรีส์หรือซิตคอมก็คือเรื่องดราม่าคนดังที่มาก่อนกาล ซึ่งเรื่องตบตีระหว่าง Noel กับ Liam ช่างจริงยิ่งกว่า และเกิดขึ้นรวดเร็วกว่าการระดมสมองของทีมเขียนบทละครชั้นครู จึงไม่แปลกที่เมื่อมาถึงยุคนี้ที่มีการสื่อสารรวดเร็วคมชัดเพียบพร้อม ละครหลังข่าวจึงโดนดิสรัปต์ ถูกขโมยเรตติ้งโดยรายการประเภทเกาะติดสถานการณ์ดราม่าคนดัง ซึ่งมีความบู๊ระดับเล่นจริงใส่สด เร้าใจคนดูกว่าเป็นไหนๆ
ลองนึกดูเล่นๆ สิ ถ้าสมมติว่า Oasis เกิดช้า ขยับไทม์ไลน์ลงมาเป็นศิลปิน Gen Z ในช่วงนี้ เรื่องวุ่นๆ คงจะบ้าบอหนักข้อกว่ายิ่งกว่า เช่นว่าแทนที่จะตั้งตนเป็นศัตรูกับวง Blur สองพี่น้องอาจเบนเป้าหมายไปแว้งกัด Billie Eilish กับ Finneas O’Connell คู่พี่น้องที่สมานฉันท์ สร้างสรรค์ผลงานเพลงด้วยกันอย่างกุ๊กกิ๊กเป็นปี่เป็นขลุ่ยแทนก็ได้
เรื่องราววีรกรรมของพี่น้อง Gallagher มีออกมาให้เห็นแทบจะรายสัปดาห์ เป็นอาหารอันโอชะของสื่อมวลชนในยุคนั้น และยังขยี้เป็นมุกขำขัน เมื่อเกิดเหตุการณ์ทะเลาะกันระหว่างการให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร NME ในช่วงที่วงกำลังเริ่มดัง และเทปบันทึกเสียงวันนั้นก็ถูกเอาไปทำเป็น Bootleg CD วางขายเป็นกิจจะลักษณะ โดยใช้ชื่อซิงเกิลว่า Wibbling Rivalry โดยศิลปิน Oas*s ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ได้มีเนื้อหาสลักสำคัญอะไรเมื่อเทียบกับสังเวียนแมตช์อื่นๆ ของพี่น้องคู่นี้ นอกจากฉากแอ็กชันลีลาการขว้างปาโทรทัศน์ที่เกือบจะกระเด็นออกนอกหน้าต่างไปเฉียดฉิว
ว่าแต่ใครจะบ้าซื้อ CD มาฟังพี่น้องทะเลาะกันยาว 14 นาที? ไม่รู้สิ แต่ผู้เขียนเองก็เป็นหนึ่งในนั้น พร้อมหลักฐานตามนี้…อวดปนอายนะนี่
(What’s the story) Sibling Rivalry? – 5 เรื่องมันๆ ที่พี่น้องตีกันจนเกิดประวัติศาสตร์
เอาละ เรามาสำรวจพงศาวดารกันดูว่ามีศึกสายเลือดครั้งใดบ้างที่เข้มข้นดุจละครจากช่องหลายสี และเป็นหมุดหมายสำคัญให้เป็นตำนานเล่าขานสืบไป ไหนๆ พวกเราก็ชอบเรื่องดราม่าตบตีกันมากกว่าเรื่องปรองดองจืดๆ เป็นของแน่นอนอยู่แล้ว
1. ศึกทัวร์สหรัฐอเมริกาพาเพลินจนเกินเหตุ (1994)
เป็นเรื่องที่รู้กันดีในหมู่วงดนตรีและต้นสังกัดในอังกฤษว่าการนำพาผลงานไปแสวงหาความสำเร็จในสหรัฐฯ นั้นเป็นเรื่องลำบากยากเข็ญไม่เบา แม้กระทั่งวงคู่ปรับหมายเลขหนึ่งของสองพี่น้องอย่างวง Blur ก็เคยแป้ก คอตกกลับบ้านมาแล้ว หลังจากความพยายามบุกตลาดสหรัฐฯ ในวันที่กระแสเพลงกรันจ์ยังเชี่ยวกราก
Oasis เองในช่วงเวลานั้นก็เหมือนจะมีคลื่นใต้น้ำเรื่องการเมืองภายในวง Noel และ Liam คอยเขม่นกันเป็นระยะๆ เรื่องการแย่งชิงความเป็นผู้นำในวง และการทัวร์สหรัฐฯ อันแสนกดดันในปี 1994 ก็เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาในชั้นบรรยากาศมาคุเป็นอย่างดี
จนกระทั่งมาถึงลอสแอนเจลิส วงและทีมงานก็พบกับยามหัศจรรย์ที่ใครสักคนเอามาให้ เพราะหวังบรรเทาความตึงเครียด (เด็กๆ ไม่ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่างนะจ๊ะ) ทุกคนเข้าใจว่ามันคือ ‘โคเคน’ จึงพร้อมใจกันซี้ดซ้าดกันอย่างหนัก เพื่อหวังจะนำพาความสนุกสนานดั่งดอกไม้บาน Feeling Supersonic คลายเครียด แต่ปรากฏจริงๆ แล้วมันคือ Crystal Meth หรือที่บ้านเราเรียกกันว่า ‘ยาไอซ์’ ซึ่งให้เอฟเฟกต์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง นั่นคือ อาการพารานอยด์ คันยุบยิบ หัวใจเต้นถี่ และที่สำคัญคือ ‘นอนไม่หลับ’ ไหนๆ ก็ไม่หลับไม่นอนกันแล้ว ทั้งทีมจึงนั่งปาดไอซ์กันต่อเนื่องไม่หลับไม่นอน 2 วัน 2 คืน
จนกระทั่งถึงเวลาขึ้นแสดง ซึ่งคืนนั้นเป็นคิวของ Whisky a Go Go ไนต์คลับชื่อดังแห่งลอสแอนเจลิส สมาชิกทุกคนต่างอยู่ในสภาพซอมบี้ และทีมงานที่ก่งก๊งไปด้วยกันเขียนลิสต์เพลงแบบมั่วซั่ว คือ Noel ได้ลิสต์ที่เรียงเพลงไม่เหมือนกับสมาชิกคนอื่นๆ จากปากคำของ Mark Coyle ซาวด์เอ็นจิเนียร์ของวงกล่าวว่า “พวกเขาไม่เคยเละเทะขนาดนั้นมาก่อน เหมือนทั้งวงจะเล่นคนละเพลงในเวลาเดียวกัน โชว์จึงล่มไม่เป็นท่า”
ความตึงเครียดระหว่าง Noel และ Liam แสดงออกมาอย่างชัดเจนบนเวที Liam เดินไปเสพไอซ์หลังตู้แอมป์กีตาร์ตลอดทั้งโชว์ และด่าทอผู้เข้าชมอย่างไม่สนใจอะไรใดๆ ทั้งสิ้น อีกทั้งยังขว้างแทมบูรินแห่งความรักไปโดนไหล่ Noel (ไม่ได้โดนศีรษะเหมือนที่สื่อเขาประโคมข่าวกันนะ จากปากคำของ Noel เอง) หลังจากโชว์หายนะครั้งนั้นทำให้ Noel ดำดิ่งเป็นอย่างมากกับความเจ็บปวดที่แบกไว้คนเดียว โดยที่ Liam และวงยังคงเมามายและไม่สำนึกกับโชว์หายนะครั้งนั้น
เช้าวันรุ่งขึ้นก่อนที่ Noel จะหายตัวไป เขาทิ้งจดหมายสอดเข้าไปใต้ประตูห้องพักของ Liam ว่า “เราจะยังเป็นพี่น้องกันอยู่ได้อย่างไรวะ?”
การหายตัวไปของ Noel ในครั้งนั้นเอง ทำให้สมาชิกวงเริ่มตระหนักถึงความฉิบหายขึ้นมาแล้วว่าชะตากรรมของวงจะเป็นอย่างไรต่อ เมื่อสมาชิกคนสำคัญที่เป็นผู้แต่งเพลงทุกเพลงของวงหายไป โดยที่ไม่รู้ว่าเขาจะกลับมาร่วมวงอีกหรือไม่
ภายหลังอีกไม่กี่วันทีมงานก็ตามหา Noel จนพบว่าเขาหนีไปเลียแผลใจที่ซานฟราสซิกโก ที่บ้านของกิ๊กสาวที่เจอกันตอนไปแสดงที่นั่น และเป็นที่มาของเพลงอะคูสติกอารมณ์เปลี่ยวอย่าง Talk Tonight ซึ่งภายหลังได้รับการบรรจุเป็น B-Side ของซิงเกิล Some Might Say
แล้วศึกนี้ใครชนะ? เมื่อ Noel กลับมาร่วมวงอีกครั้ง วงก็เกรงใจและคุมความประพฤติกันอย่างเห็นได้ชัด ยกเว้น Liam ที่ยังทำฟอร์มกร่างและให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า “ช่างมันสิ จดหมายจากคนอ่อนแอฉบับนั้น ข้าได้เอามันมามวนซี้ดไอซ์เข้าไป แล้วเมาต่อไปเรียบร้อยแล้ว” อย่างไรก็ตาม รูปการณ์นี้ต้องยกให้ Noel เป็นผู้ชนะในยกนี้ เพราะพลวัตของอำนาจในวงได้มาอยู่ข้าง Noel อย่างเบ็ดเสร็จตั้งแต่นั้นมา
เรื่องมันๆ กับวีรกรรมสุดแสบของสองพี่น้องยังคงมีอีกเยอะ นี่เป็นแค่เพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ยังตามมาด้วยจุดพลิกผันและจุดเปลี่ยนผ่านอีกหลายตลบ เพราะฉะนั้นรออ่านตอนต่อไปได้เลย แล้วคุณจะค้นพบประสบการณ์การฟังเพลงของ Oasis ในอีกมิติแบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนจากที่เคยฟังหลายๆ ครั้ง
อ้างอิง:
- https://www.standard.co.uk/lifestyle/oasis-reunion-feud-why-did-they-break-up-noel-liam-gallagher-fight-b1178534.html
- https://www.standard.co.uk/lifestyle/noel-liam-gallagher-feud-fight-timeline-insults-tofu-b1034188.html
- https://loudwire.com/timeline-beef-between-oasis-noel-gallagher-liam-gallagher/
- https://au.rollingstone.com/music/music-features/oasis-liam-noel-gallaghers-fued-timeline-66145/l/1991-1994-oasis-formation-and-early-clashes/