ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE) กล่าวว่าจะยกเลิกการซื้อขายที่ผิดพลาด หลังจากเกิดความผิดพลาดทางเทคนิคที่นำไปสู่การหยุดซื้อขายหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนในสหรัฐอเมริกา และกองทุนซื้อขายแลกเปลี่ยนหลายสิบรายการ
หนึ่งในนั้นคือความผิดพลาดที่เกิดขึ้นกับหุ้น Class A ใน Berkshire Hathaway ของ Warren Buffett ที่ดูเหมือนจะปรับตัวลดลง 99% ในเช้าวันจันทร์ก่อนที่จะมีการหยุดการซื้อขาย โดยระบบได้บันทึกการซื้อขายจำนวนหนึ่งของ Berkshire ที่ 185.10 ดอลลาร์ต่อหุ้น เทียบกับราคาเดิมที่ 621,484 ดอลลาร์
ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE) เปิดเผยหลังจากตลาดปิดในบ่ายวันจันทร์ว่าการซื้อขายทั้งหมดที่ราคา 603,718.3 ดอลลาร์ หรือต่ำกว่า จะถูกยกเลิก หลังจากนั้นหุ้น Class A ของ Berkshire ปิดในวันจันทร์ที่ 631,110 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 0.6% จากวันก่อนหน้า ส่วนหุ้น Class B ของ Berkshire ยังคงซื้อขายตามปกติตลอดช่วงเช้า
กฎของตลาดหลักทรัพย์อนุญาตให้ผู้ลงทุนเรียกร้องค่าชดเชยสำหรับการซื้อขายที่ ‘ผิดพลาดอย่างชัดเจน’ และธุรกรรมในราคาที่เป็นผลมาจากข้อบกพร่องทางเทคนิคจะถูกยกเลิกเช่นกัน
เมื่อปีที่แล้ว NYSE ถูกบังคับให้ยกเลิกการซื้อขายหลายพันรายการหลังจากข้อผิดพลาด จากการที่หุ้นหลายร้อยตัวซื้อขายโดยไม่มีกรอบจำกัดการขึ้น-ลงที่ถูกต้อง
การหยุดซื้อขายในวันจันทร์เริ่มขึ้นไม่นานหลังจากตลาดเปิด และ NYSE กล่าวว่าปัญหาได้รับการแก้ไขและหุ้นทั้งหมดกลับมาซื้อขายต่อได้ภายในเที่ยงวันตามเวลาท้องถิ่น
โดย NYSE ระบุว่า ปัญหาที่เกิดขึ้น “เป็นปัญหาทางเทคนิคเกี่ยวกับกรอบราคาทั่วทั้งอุตสาหกรรมที่รับผิดชอบโดยหน่วยงานที่ชื่อว่า Consolidated Tape Association Security Information Processor หรือ CTA”
CTA เป็นสมาคมของตลาดหลักทรัพย์รายใหญ่ที่จัดการการเผยแพร่ข้อมูลการซื้อขายระหว่างสถานที่ต่างๆ โดย CTA กล่าวว่าปัญหาที่เกิดขึ้นล่าสุดอาจเกี่ยวข้องกับการเปิดตัวซอฟต์แวร์ใหม่ที่เริ่มใช้ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
นอกจากหุ้น Berkshire แล้ว หุ้นอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ Chipotle ร้านอาหารเชน และ Barrick Gold กลุ่มเหมืองแร่ โดยข้อมูลของ Bloomberg บันทึกการซื้อขายหลายครั้งในหุ้น Barrick Gold ที่ 25 เซนต์ เทียบกับราคา 17 ดอลลาร์ ก่อนหน้านี้ NYSE กล่าวว่ากำลังตรวจสอบหลักทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบ 40 หลักทรัพย์
กลไกเรื่องกรอบราคาของตลาดหุ้นสหรัฐฯ vs. ไทย
ด้าน ณัฐ เหลืองนฤมิตชัย ผู้ช่วยผู้จัดการ หัวหน้ากลุ่มงานปฏิบัติการเทคโนโลยีสารสนเทศ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ กับตลาดหุ้นไทยมีกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันในเรื่องกรอบราคาที่หุ้นแต่ละตัวสามารถเคลื่อนไหวได้ในแต่ละวัน
ตลาดหุ้นไทยจะเป็นกลไก Ceiling Floor โดยกำหนดให้หุ้นแต่ละตัวเคลื่อนไหวบวกหรือลบได้ไม่เกินวันละ 30% ส่วนตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะใช้กลไกที่เรียกว่า Limit Up Limit Down (LULD) ซึ่งไม่ได้กำหนดเพดานการเคลื่อนไหว แต่ถ้าราคาหุ้นปรับตัวเกินกว่าค่าหนึ่ง (จากสูตรการคำนวณ) ภายในระยะเวลาสั้นๆ จะทำให้หุ้นนั้นๆ ถูกหยุดทำการซื้อขายชั่วคราว ก่อนจะกลับมาซื้อขายได้ใหม่
อย่างกรณีของหุ้น Berkshire ที่ราคาร่วงลงอย่างรุนแรง ทำให้กลไก LULD ทำงาน จนหุ้นถูกพักการซื้อขาย และระหว่างนั้น NYSE ก็พยายามแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ส่วนหลังจากนี้เชื่อว่า NYSE จะดำเนินการสืบสวนเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และน่าจะเปิดเผยข้อมูลออกมาอีกครั้ง
ณัฐกล่าวต่อว่า ปัญหาเรื่องของซอฟต์แวร์เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ แต่สิ่งสำคัญคือจะป้องกันความเสียหายได้มากน้อยเพียงใด และเมื่อเกิดความเสียหายขึ้นแล้วจะมีมาตรการทำให้ทุกอย่างกลับมาปกติได้อย่างไร
สำหรับตลาดหุ้นไทย หากเกิดปัญหาในลักษณะนี้ขึ้นจะสามารถยกเลิกธุรกรรมในช่วงที่มีปัญหาได้ แต่ต้องพิจารณาเป็นกรณีแยกกันไป เพราะปัญหาในลักษณะนี้มักจะเกิดขึ้นไม่บ่อย จึงไม่ได้มีมาตรการที่กำหนดไว้ชัดเจน
อ้างอิง:
