ท่ามกลางควันไฟระเบิดและกระสุนปืน ผู้คนหนีตายจากระบอบเผด็จการภายใต้คณะรัฐประหารของประเทศเมียนมาที่เข้ายึดการปกครองเมื่อ 4 ปีก่อน ไฟจากสงครามส่งผลกระทบถึงทุกคน ทุกชนชั้น ไม่เว้นแม้แต่คนในศาสนา ขณะที่ผู้คนหอบหิ้วลูกหลานอพยพหนีภัยสงคราม ยังมีเด็กที่อยู่ในผ้าเหลือง หรือ ‘เณร’ ที่กำลังอพยพมุ่งหน้าสู่แม่น้ำเมย เส้นพรมแดนระหว่างสองประเทศ เพื่อข้ามฝั่งหนีตายมายังประเทศไทยเหมือนกัน
เณรที่ลี้ภัยจากประเทศเมียนมา ส่วนใหญ่มีอายุประมาณ 6-12 ปี บางคนมากับแม่ ส่วนใหญ่จะไม่มีพ่อ หลายคนเดินทางมาคนเดียว
เมื่อมาถึงประเทศไทยแล้วก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นยังไง จึงเข้าหาวัดเป็นที่แรก ในความคิดของเด็ก การอยู่ในวัดอย่างน้อยก็ไม่อดตาย มีที่ซุกหัวนอน วัดและชุมชนที่อยู่ริมชายแดนหลายแห่ง จะเข้าใจบริบทของผู้ลี้ภัยเป็นอย่างดี และสมัครใจรับเณรที่เป็นผู้ลี้ภัยเข้ามาไว้ในความดูแล
“ให้โอกาสเขา เขาหนีร้อนมาพึ่งเย็น มาขอความช่วยเหลือ เราเป็นพระ เราจะไม่เมตตาเขาหรอ เขาหนีความตายมา ไม่มีอะไรติดตัวมาเลยสักอย่างเดียว ไม่รู้จะไปพึ่งใคร” พระอาจารย์ไม่ประสงค์ระบุชื่อกล่าวภายในวัดแห่งหนึ่งริมชายแดนประเทศไทย
เมื่อเณรกลายเป็นผู้ลี้ภัย
สงครามความไม่สงบในประเทศเมียนมา ส่งผลให้จำนวนของเด็กเคลื่อนย้ายและเด็กที่ต้องกลายเป็นผู้ลี้ภัย มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมาก ไม่เว้นแม้แต่เณร
นับตั้งแต่เกิดการรัฐประหารในประเทศเมียนมา เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2564 เป็นจุดเริ่มต้นของวิกฤตทางการเมืองที่ลุกลามสู่ความขัดแย้งอย่างรุนแรง สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ประเมินว่า จนถึงตุลาคมปี พ.ศ.2568 มีผู้ลี้ภัยชาวเมียนมาประมาณ 1.5 ล้านคน ได้หลบหนีไปต่างประเทศโดยประเทศไทยเป็นหนึ่งในจุดหมายหลัก จำนวนที่มีการลงทะเบียนยืนยันของประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียราว 275,300 คน ช่องว่างของตัวเลขนั้น เป็นเพราะการนับทะเบียนผู้ลี้ภัยเป็นเรื่องยากและซับซ้อน
การหลั่งไหลของชาวเมียนมาเข้ามายังประเทศไทย ส่งผลกระทบในหลายมิติ หนึ่งในนั้นคือ มิติด้านมนุษยธรรม
วัดแห่งนี้เริ่มอนุเคราะห์เณรที่ลี้ภัยจากประเทศเมียนมาเข้ามาดูแลตั้งแต่เมื่อ 19 ปีก่อน เริ่มต้นจาก ‘ครูบา’ (เจ้าอาวาสองค์ก่อน) เป็นคนริเริ่มและวางรากฐานต่างๆ เอาไว้
พระอาจารย์เคยถามครูบาว่า “ทำไปทำไม เราทำไปก็ไม่ได้อะไร มีหน่วยงานรัฐตั้งเยอะแยะที่มีหน้าที่รับผิดชอบตรงนี้”
ครูบาพูดคำเดียวว่า “ให้โอกาสเขา”
หลังจากครูบามรณภาพเมื่อกลางปีนี้ ก็ได้พระอาจารย์รับช่วงดูแลบรรดาเณรต่อ ตัวพระอาจารย์เป็นคนกาญจนบุรี มาจำวัดที่นี่เมื่อปี พ.ศ.2562 และอยู่ช่วยครูบาดูแลเณรจนถึงปัจจุบัน
จากวันแรกที่พระอาจารย์ยังไม่เข้าใจถึงบทบาทดังกล่าว พระอาจารย์พบว่า การดูแลและให้โอกาสเณรที่เป็นผู้ลี้ภัย ถือเป็นส่วนหนึ่งในหน้าที่ของพระสงฆ์ หรือกิจของสงฆ์ ตามพระราขบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 มี 6 ด้านหลักๆ ได้แก่ การปกครอง, ศาสนศึกษา, ศึกษาสงเคราะห์, เผยแผ่, สาธารณูปการ และสาธารณสงเคราะห์
“จะเห็นได้ว่าการสาธารณสงเคราะห์และการศึกษาสงเคราะห์ เป็นส่วนหนึ่งในหน้าที่ของสงฆ์อยู่แล้ว ซึ่งการรับสงเคราะห์เด็กไทยก็ทำอยู่แล้วเป็นปกติ และการรับสงเคราะห์เด็กข้ามชาตินั้นก็ทำไม่ต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นเด็กชนชาติไหน ก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน”
ชีวิตของเณรลี้ภัย
การเข้ามาอยู่ในวัดจะต้องอยู่ภายใต้กฎระเบียบของวัด โดยมีพระอาจารย์เป็นผู้ควบคุมดูแล เณรทุกรูปเวลาออกบิณฑบาตรในช่วงเช้าก่อนเข้าชั้นเรียน จะเก็บของกินและเงินทำบุญส่วนหนึ่งที่มีคนนำมาใส่บาตร แบ่งเอาไว้ให้พ่อแม่ (ส่วนใหญ่จะไม่มีพ่อ) เพื่อนำไปแบ่งให้พี่หรือน้องสาวที่อยู่ที่บ้านอีกที
เมื่อเข้ามาแล้ว จะยังไม่สามารถพูดภาษาไทยได้ ต้องใช้ภาษากายท่าทาง ช่วยในการสื่อสาร โดยพระอาจารย์จะเป็นคนสอนปรับพื้นฐานให้ทุกวัน จนสามารถพูดอ่านเขียนภาษาไทยได้ ใช้เวลาประมาณ 3 เดือน ก่อนจะส่งไปเรียนร่วมกับเด็กนักเรียนคนอื่น ที่โรงเรียนประจำของวัด
ในปัจจุบัน เณรที่อยู่ในความดูแลของพระอาจารย์ มีทั้งหมด 23 รูป อายุตั้งแต่ 6-12 ปี กำลังเรียนอยู่ระดับชั้นตั้งแต่ป.1-ม.3 เณรหลายรูปจะอายุเกินเกณฑ์ของชั้นเรียนตามปกติทั่วไป เพราะแต่ละรูปที่มามีอายุไม่เท่ากัน และต้องเริ่มต้นเรียนใหม่ทั้งหมดตั้งแต่แรก
โอกาสทางการศึกษา
เณรทุกรูปจะได้เรียนจนถึงชั้นม.3 ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ที่กำหนดไว้ว่า ‘บุคคลทุกคนมีสิทธิและโอกาสเสมอกัน ที่จะได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานจากรัฐไม่น้อยกว่า 12 ปี’ และมติคณะรัฐมนตรีปี พ.ศ.2548 ที่นับรวมบุคคลที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย ให้สามารถเข้าเรียนได้ทุกระดับ ทุกประเภท และทุกพื้นที่ในประเทศไทย โดยทางรัฐจะออกบัตรชั่วคราวที่มีรหัส GR CODE หรือเรียกว่า ‘บัตร G’ คือ ระบบการกำหนดรหัสให้กับผู้ที่ไม่มีตัวตนในทะเบียนราษฎร เพื่อใช้สำหรับระบุตัวตนเด็กนักเรียนในสถานศึกษา ซึ่งเงื่อนไขสำคัญของการรับรหัส G เด็กจะต้องอาศัยอยู่ในประเทศไทยเท่านั้น
โรงเรียนของวัดทุกวันนี้ เรียกได้ว่าเป็นโรงเรียนนานาชาติและนานาศาสนา เพราะมีเด็กหลากหลายเชื้อชาติเรียนร่วมกัน ทั้งเด็กไทย, พม่า, ม้ง, กะเหรี่ยง ครูที่สอนเด็กเหล่านี้ จะได้เรียนรู้ภาษาและความต่างทางวัฒนธรรมพร้อมกับเด็กไปด้วยในตัว
‘เณรก็เป็นแค่เด็กคนหนึ่ง’
การใช้ชีวิตของเณรภายใต้ร่มกาสาวพัสตร์ อาจจะถูกบังคับให้ทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ ด้วยกฎระเบียบและข้อบังคับทางศาสนา ทำให้เวลาเกิดปัญหาอะไรขึ้นมา จะไม่มีคนคอยให้คำปรึกษาและรู้สึกโดดเดี่ยว ยิ่งเณรที่เป็นผู้ลี้ภัยด้วยแล้ว ยิ่งห่างจากคนในครอบครัว
กลุ่มสโมสรเพื่อเด็กเคลื่อนย้าย “Smile-lay” (สมายเล) ทำงานสร้างพื้นที่ปลอดภัยและโอกาสให้กับผู้ลี้ภัย รวมไปถึงแรงงานข้ามชาติ มองเห็นปัญหาเหล่านี้ จึงเริ่มต้นเข้าไปทำกิจกรรมกับกลุ่มเณรที่อยู่ภายในวัด เริ่มต้นจากการตั้งคำถามเกี่ยวกับความปลอดภัยของเณรเมื่ออยู่ในวัดว่า
“เราไม่เคยเห็นเณรได้มีโอกาสส่งเสียงถึงการเป็นอยู่ ความต้องการ รวมไปถึงปัญหาต่างๆ ไม่เคยได้เห็นกระบวนการเหล่านี้เลย” โอปอ ผู้จัดการแผนงานคุ้มครองเด็ก เครือข่ายพุทธศาสนิกสัมพันธ์เพื่อสังคมนานาชาติ (INEB) และอาสาสมัคร Smile-Lay กล่าวถึงความสงสัย
Smile-lay (เป็นศัพท์สแลงในภาษาพม่า แปลว่า ยิ้มแย้ม เด็กๆ มุสลิมชาวพม่าช่วยกันตั้งชื่อนี้ เพื่อสะท้อนถึงความรู้สึกของพวกเขา เวลาได้เข้าร่วมกิจกรรม) จัดกิจกรรมด้านการศึกษา ดูแลด้านอารมณ์จิตใจ และกิจกรรมสันทนาการ เปิดพื้นที่ให้เด็กได้แสดงออกอย่างสร้างสรรค์ เพื่อช่วยให้เด็กข้ามชาติสามารถปรับตัวเข้ากับชุมชนและเติบโตได้อย่างเข้มแข็ง แม้ต้องเผชิญความยากลำบากจากสถานะการย้ายถิ่นของตน รวมถึงชวนให้ผู้คนรอบข้างตระหนักรู้ เกี่ยวกับสิทธิและสวัสดิภาพของเด็กข้ามชาติ
ศูนย์ของ Smile-lay อยู่ในชุมชนมุสลิม พื้นที่โดยรอบของศูนย์เป็นที่อยู่อาศัยของทั้งคนไทยและผู้ลี้ภัยการสู้รบจากประเทศเมียนมา รวมไปถึงแรงงานข้ามชาติ จึงเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับการพบปะพูดคุย และเรียนรู้ทักษะที่จำเป็นสำหรับการใช้ชีวิตของเด็กๆ
Smile-lay จึงเริ่มต้นด้วยการตระเวนไปตามวัด เพื่อเข้าไปพูดคุยกับเจ้าอาวาส จนสังเกตได้ว่า ถ้าพระรูปไหนเข้าใจ จะมีคำพูดคีย์เวิร์ดที่พูดคล้ายๆกัน คือ ‘เณรก็คือเด็ก’ แสดงว่าเชื่อในสิ่งเดียวกัน เพราะกลุ่มต้องการทำงานกับเด็ก ไม่ว่าเด็กคนนั้นจะอยู่ในสถานะอะไรก็ตาม
“เราเชื่อว่า ‘เณรก็เป็นแค่เด็กคนหนึ่ง’ ที่ต้องผ่านเหตุการณ์เรื่องราวต่างๆ มามากมาย หลายคนแทบเอาชีวิตไม่รอด”
“เณรบางรูปก็ไม่ได้อยากบวช แต่อยากอยู่กับแม่เหมือนพี่น้องผู้หญิงมากกว่า ที่สุดแล้วเณรก็คือเด็กคนหนึ่ง ที่ยังโหยหาความรักจากแม่ อยากอยู่ใกล้ชิดกับแม่ การบวชเป็นเณรอยู่ที่วัด การกินการอยู่อาจจะดีกว่าอยู่กับแม่ แต่ในเรื่องของการดูแลมันทดแทนกันไม่ได้ ยิ่งถ้าเป็นเด็กที่หนีภัยสงครามมาด้วยแล้ว ทางเลือกนั้นแทบไม่มี”
เพราะการวาดรูประบายสีกับเด็กเป็นของคู่กัน
Smile-lay ใช้ศิลปะเป็นเครื่องมือในการเข้าถึงเรื่องภายในใจเหล่านี้ เพราะการวาดรูประบายสีกับเด็กนั้นเป็นของคู่กันอยู่แล้ว ก่อนที่จะค่อยๆ เสริมความรู้เกี่ยวกับเรื่องสิทธิของตัวเอง และสิทธิของเด็ก เพิ่มเป็นเกราะป้องกันให้พวกเขาได้เรียนรู้ต่อไป
ทางกลุ่มเรียนรู้ว่า การทำกิจกรรมกับเด็กอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ การจะสร้างพื้นที่ปลอดภัยจะต้องทำงานกับพ่อแม่ด้วย และการทำกิจกรรมร่วมกันกลายเป็นส่วนหนึ่ง ที่คนจากหลายศาสนาได้มาเจอกันและการนำเด็กต่างศาสนามาทำกิจกรรมร่วมกัน กลายเป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆ ที่ทำให้เด็กเข้าใจความเป็นมนุษย์มากขึ้น ได้เรียนรู้ว่า คนต่างศาสนาก็สามารถอยู่ร่วมกันได้ โดยไม่จำเป็นต้องเกลียดกัน
ทางกลุ่มอยากทำงานกับเด็กนอกวัดมากกว่านี้ด้วย แต่ด้วยข้อจำกัดทรัพยากรที่มี จึงไม่สามารถทำได้ นอกจากนี้ การทำงานหลายครั้งเป็นเรื่องยาก เพราะการเข้าไปทำกิจกรรมและเสริมความรู้ให้กับเณรในวัด ทำให้เณรมีความคิดและกล้าปฏิเสธในสิ่งที่ละเมิดสิทธิของตัวเองมากขึ้น ทำให้ทางวัดไม่พอใจ
ยิ่งไปกว่านั้นยังมีความเสี่ยงเรื่องความปลอดภัย เพราะบางวัดเป็นวัดพุทธพาณิชย์ ใช้เณรเป็นวัตถุหนึ่งในการเรียกนักท่องเที่ยว สุดท้ายอาจนำไปสู่ปัญหาของเด็กเคลื่อนย้าย เพราะเวลาเณรถูกโยกย้ายไปยังวัดอื่น จะไม่มีใครรู้หรือตามหาได้เลย
ในสายตาของพี่โอปอ ผู้จัดการแผนงานคุ้มครองเด็ก เครือข่ายพุทธศาสนิกสัมพันธ์เพื่อสังคมนานาชาติ (INEB) และอาสาสมัคร Smile-Lay เธอมองว่า
“เราไม่ได้ทำงานเพื่อหวังจะให้เณรอยู่ที่นี่ตลอดไป เราเพียงแค่ให้พื้นที่ปลอดภัยกับเขา เพื่อหวังว่าวันนึง สถานการณ์ในประเทศของเค้ากลับสู่ปกติ ไม่เป็นอันตรายต่อชีวิต เขาจะสามารถกลับบ้าน กลับสู่ประเทศของตัวเองได้”













