ศูนย์ศึกษายุทธศาสตร์และระหว่างประเทศ (Center for Strategic and International Studies : CSIS) ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ของสหรัฐฯ เผยแพร่รายงาน ระบุว่า เกาหลีเหนือมีฐานขีปนาวุธลับที่ยังไม่มีการรายงานมาก่อนใกล้ชายแดนทางตอนเหนือติดกับจีน ซึ่งอาจเป็น ‘ภัยคุกคามทางนิวเคลียร์’ ต่อพื้นที่ส่วนใหญ่ในเอเชียตะวันออกและสหรัฐฯ
รายงานระบุว่า ฐานขีปนาวุธลับดังกล่าวมีชื่อว่า ฐานขีปนาวุธซินพุงดง (Sinpung-dong) ตั้งอยู่ห่างจากชายแดนจีนราว 27 กิโลเมตร โดยอยู่ในหุบเขาแคบๆ ที่มีลำธารไหลผ่าน และมีขนาดพื้นที่ประมาณ 22 ตารางกิโลเมตร ซึ่งใหญ่กว่าสนามบินจอห์น เอฟ. เคนเนดี ในนครนิวยอร์ก
ขณะที่เชื่อว่าฐานขีปนาวุธแห่งนี้เป็นสถานที่เก็บขีปนาวุธข้ามทวีป (ICBM) ที่มีศักยภาพบรรจุหัวรบนิวเคลียร์ได้มากถึง 9 ลูก รวมถึงมีแท่นยิงขีปนาวุธเคลื่อนที่และเป็นหนึ่งในฐานขีปนาวุธและคลังเก็บหัวรบนิวเคลียร์ราว 15-20 แห่งที่เกาหลีเหนือไม่เคยเปิดเผย
ทั้งนี้ รายงานของ CSIS รวบรวมข้อมูลจากการวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียม การสัมภาษณ์ผู้ลี้ภัยและเจ้าหน้าที่เกาหลีเหนือ ตลอดจนข้อมูลจากเอกสารลับ และแหล่งข้อมูลเปิดอื่นๆ
โดยพบว่าเกาหลีเหนือเริ่มต้นก่อสร้างฐานขีปนาวุธแห่งนี้ในปี 2004 และเปิดใช้งานมาตั้งแต่ปี 2014 ซึ่งเกาหลีเหนือดูแลรักษาฐานขีปนาวุธแห่งนี้เป็นอย่างดี และมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนถึงความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องในการทดสอบขีปนาวุธของเกาหลีเหนือเช่นกัน
ฐานขีปนาวุธลับแห่งนี้ เป็นส่วนหนึ่งในความพยายามของเกาหลีเหนือในการเสริมสร้างโครงการนิวเคลียร์และขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ โดยเกาหลีเหนือได้เพิ่มการพัฒนาขีปนาวุธอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาภายใต้การนำของคิม จองอึน ผู้นำสูงสุด ซึ่งถือเป็นการละเมิดมาตรการคว่ำบาตรของสหประชาชาติที่จำกัดการเข้าถึงวัตถุดิบและอาวุธของเกาหลีเหนืออย่างเข้มงวด
ไลฟ-เอริก อีสลีย์ (Leif-Eric Easley) ศาสตราจารย์ด้านความมั่นคงระหว่างประเทศ จากมหาวิทยาลัยอีฮวา ในกรุงโซล วิเคราะห์ว่า การที่เกาหลีเหนือตั้งฐานขีปนาวุธลับใกล้ชายแดนจีน ทำให้ได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ โดยประเทศต่างๆ เช่น สหรัฐฯ อาจต้องระมัดระวังในการกำหนดเป้าหมาย เนื่องจากการโจมตีใดๆ ที่เกิดขึ้น อาจส่งผลกระทบต่อประเทศจีนที่อยู่ใกล้เคียง
“ด้วยการสร้างฐานทัพใกล้จีนเช่นนี้ เกาหลีเหนืออาจพยายามใช้ประโยชน์จากความเสี่ยงทางการเมืองและความไม่แน่นอนในการตอบสนองของปักกิ่ง เพื่อยับยั้งการโจมตี” เขากล่าว
ภาพ: KCNA via Reuters
อ้างอิง: