วันนี้ (1 พฤษภาคม) คณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ที่มี รังสิมันต์ โรม เป็นประธาน ได้เชิญผู้แทนจากหน่วยงานด้านความมั่นคงหลายหน่วยงานเข้าชี้แจง กรณีการศึกษาปฏิบัติการข่าวสาร (Information Operation หรือ IO) ทางสื่อสังคมออนไลน์ที่อาจส่งผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน โดยมีผู้แทนระดับสูงจากกระทรวงกลาโหม, กองบัญชาการกองทัพไทย, เหล่าทัพ, กอ.รมน., สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมถึง ป.ป.ช. และผู้ตรวจการแผ่นดิน เข้าร่วม
รังสิมันต์ โรม ประธาน กมธ. กล่าวว่า ปัญหา IO ไม่ใช่เรื่องใหม่ มีมาตั้งแต่รัฐบาลชุดก่อน และแม้จะเปลี่ยนเป็นรัฐบาลพลเรือนที่นำโดยพรรคเพื่อไทย ซึ่งคาดหวังว่า IO จะหมดไป แต่กลับพบว่าปฏิบัติการ IO ยังคงมีอยู่ และอาจรุนแรงหรือใหญ่กว่าเดิมด้วยซ้ำ โดยไม่ได้มุ่งเป้าเฉพาะฝ่ายค้าน แต่รวมถึงบุคคลในรัฐบาลหรือผู้มีอิทธิพลเหนือรัฐบาลด้วย
รังสิมันต์ย้ำว่า ไม่ควรนำภาษีประชาชนไปใช้ทำ IO ที่เต็มไปด้วยข่าวปลอม สร้างความเกลียดชัง และไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการนำเครื่องมือที่ออกแบบไว้สำหรับสงครามกับศัตรูต่างชาติ มาใช้ปฏิบัติกับคนในประเทศ เพราะเป็นการทำลายความมั่นคงและความสามัคคีของชาติเสียเอง
ในช่วงที่เปิดให้สื่อมวลชนเข้ารับฟัง ผู้แทนจากหน่วยงานความมั่นคงที่เข้าร่วมประชุมต่างยืนยันในทิศทางเดียวกันว่า ไม่มีนโยบายในการทำปฏิบัติการ IO แต่กิจกรรมที่ดำเนินการเป็นการสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการทำงานและบทบาทหน้าที่ของหน่วยงานในการป้องกันประเทศและช่วยเหลือประชาชน
พล.ต. วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ชี้แจงเพิ่มเติมว่า กองทัพบกไม่มีการทำ IO ในความหมายที่สังคมเข้าใจ คำว่า IO เป็นศัพท์ทางการทหารที่ใช้เป็นเครื่องมือสื่อสารในการรบ แต่เมื่อนำมาปรับใช้ในประเทศ กองทัพใช้เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจและแก้ไขในสิ่งที่เข้าใจผิด ผ่านการประชาสัมพันธ์โดยเปิดเผย เพื่อปกป้องเกียรติยศและศักดิ์ศรีขององค์กร ไม่ใช่การดำเนินการเชิงรุกหรือก้าวร้าว
อย่างไรก็ตาม พล.ต. วินธัย ยอมรับว่า กองทัพบกมีการกำหนดเป้าหมาย ในการสื่อสารชี้แจง ได้แก่
1) บุคคลที่มีผู้ติดตามจำนวนมากในสังคมออนไลน์ ซึ่งอาจรวมถึงนักการเมืองหรือนักวิชาการ เพื่อเร่งชี้แจงหากเกิดความเข้าใจผิดจากบุคคลเหล่านี้
2) ผู้ที่มีทัศนคติไม่ดีต่อทหาร เพื่อนำเสนอข้อมูลอีกด้านหนึ่ง
ทั้งนี้ ยืนยันว่าไม่ได้ตั้งตนเป็นคู่ขัดแย้ง และยอมรับว่ามีการใช้อินฟลูเอ็นเซอร์ในช่องทางออนไลน์ แต่ทำอย่างเปิดเผย ส่วนเพจต่างๆ ที่โจมตีนักการเมืองและมีการแอบอ้างว่าเป็นของทหารหรือหน่วยงานความมั่นคงนั้น พล.ต. วินธัย ยืนยันว่า ไม่ใช่ของกองทัพ และท้าให้ผู้ที่พบเห็นสามารถแจ้งความดำเนินคดีตามกฎหมายเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้ทันที