×

ชยพล เปิดข้อมูล ขบวนการ IO ยกระดับ ล็อกเป้าคนเห็นต่าง พบชื่อบุคคลสำคัญในรัฐบาลถูกจับจ้องฐานแอบอ้างสถาบันฯ แสวงผลประโยชน์

โดย THE STANDARD TEAM
25.03.2025
  • LOADING...

วันนี้ (25 มีนาคม) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 26 (สมัยสามัญประจำปี ครั้งที่ 2) วาระพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล เป็นวันที่ 2 ชยพล สท้อนดี สส. กทม. พรรคประชาชน อภิปรายว่า นายกรัฐมนตรีไม่รักษาสัญญาที่เคยบอกกับประชาชนไว้ว่าจะปฏิรูปกองทัพ ทำลายโอกาสที่จะเปลี่ยนผ่านประเทศของเราไปสู่ประชาธิปไตยอย่างที่ประชาชนต้องการ มีคนบางกลุ่มบางฝ่าย พยายามทำให้อำนาจของกองทัพอยู่เหนืออำนาจของรัฐบาลพลเรือน อยู่เหนืออำนาจของประชาชน และยังใช้กลไกของกองทัพเข้ามาแทรกแซงการเมืองอยู่ตลอดเวลา จนทำให้ประเทศของเราขาดเสถียรภาพ ไม่สามารถที่จะพัฒนาระบอบประชาธิปไตยได้อย่างต่อเนื่อง 

 

ชยพลชี้ว่า กลยุทธ์สำคัญอย่างหนึ่งที่กองทัพใช้เพื่อแทรกแซงการเมืองก็คือปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารหรือที่เรามักเรียกกันสั้นๆ ว่า IO อีกทั้งเมื่อจะเกิดรัฐประหาร ไม่ใช่ว่าทหารจะลากรถถังออกมายึดอำนาจได้ แต่มักจะต้องมีสถานการณ์ความขัดแย้งในสังคมหรือบรรยากาศรัฐบาลถูกโจมตีกล่าวหารุนแรงขึ้นก่อนแล้ว กองทัพจึงจะอ้างว่า พวกเขาจำเป็นต้องออกมาเพื่อควบคุมสถานการณ์บ้านเมือง ซึ่งคำถามก็คือ แล้วสถานการณ์หรือบรรยากาศความขัดแย้งต่างๆ นั้น มันเกิดขึ้นมาโดยธรรมชาติหรือไม่

 

“ขบวนการเหล่านี้ มีเป้าหมายก็เพื่อสร้างกระแสสังคม สร้างความเชื่อผิดๆ สร้างความไม่พอใจ สร้างความหวาดกลัว สร้างความเกลียดชัง หรือสร้างความขัดแย้ง จนนำไปสู่สถานการณ์ที่ผู้อยู่เบื้องหลังได้ประโยชน์ เช่น นำไปสู่การขับไล่รัฐบาล นำไปสู่การทำลายคู่ขัดแย้งทางการเมือง นำไปสู่การลุกฮือของประชาชนบางกลุ่ม หรือนำไปสู่การรัฐประหาร” 

 

ชยพลได้แนะนำเอกสารของหน่วยปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารของคนในกองทัพหรือที่เรียกตัวเองว่าเป็น Cyber Team ซึ่งเอกสารส่วนใหญ่ได้มาจากเจ้าหน้าที่ทหาร และตำรวจที่รักประชาธิปไตย พวกเขารับไม่ได้กับปฏิบัติการที่เสื่อมเสียเกียรติภูมิของกองทัพ พวกเขารับไม่ได้กับการใช้อำนาจสั่งให้ข้าราชการไปปลุกปั่นให้ประชาชนเกลียดชังกัน ขัดแย้งกัน

 

ข้อมูลที่จะเปิดเผย นำมาจากเอกสารภายในของขบวนการไอโอของกองทัพ รวมทั้งเอกสารของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับปฏิบัติการนี้ ประกอบไปด้วย เอกสารของคณะทำงานความมั่นคงพิเศษ กองทัพบก, เอกสารรายงานการทำงานของไซเบอร์ทีมภายใต้ ศปก. ร่วมฯ หรือศูนย์ปฏิบัติการร่วมของทหาร และตำรวจ โดยเอกสารรายงานการทำงานเหล่านี้ มีทั้งรายงานประจำสัปดาห์ตั้งแต่สมัยรัฐบาลของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาจนถึงรัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และเอกสารสรุปยุทธศาสตร์ประจำปีของทีมไซเบอร์ รวมถึงเอกสารประมาณการภัยคุกคามด้านความมั่นคงภายในราชอาณาจักรของ กอ.รมน. ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้อำนวยการ

 

ชยพลนำเอกสารลับของกองทัพบก ซึ่งจากเอกสารของคณะทำงานความมั่นคงพิเศษ ซึ่งทำให้ทราบว่า ในช่วงก่อนการเลือกตั้งปี 2566 กองทัพได้ประชุมแผนงานด้านสารนิเทศเพื่อความมั่นคง และได้วิเคราะห์ว่ามีการเคลื่อนไหวของกลุ่มต่อต้านสถาบันฯ ในประเทศไทยโดยกลุ่มเหล่านี้มีเป้าหมายทางยุทธศาสตร์อย่างเป็นขั้นเป็นตอนชัดเจน ซึ่งคณะทำงานความมั่นคงพิเศษ และวิเคราะห์แบบนี้ จึงสั่งให้ทุกเหล่าทัพจัดตั้ง ‘คณะทำงานความมั่นคงพิเศษ’ ขึ้นมา ตามแนวทางที่ทีม ศปก. ร่วมฯของกองทัพบกนำเสนอ 

 

ทั้งนี้ คณะทำงานความมั่นคงพิเศษที่สั่งให้ทุกเหล่าทัพจัดตั้งขึ้นมานั้น มีหน้าที่ประสานงานร่วมกัน โดยให้จัดทำโครงสร้าง และแนวทางการดำเนินงานของแต่ละหน่วยงาน ทั้งในระดับนโยบาย ระดับผู้ประสานงาน และระดับทีมปฏิบัติการ รวมทั้งสั่งให้แต่ละหน่วยงานส่งบัญชี Influencers ที่แต่ละหน่วยงานมีอยู่แล้วหรือสร้างขึ้นมาไปให้ ศปก. ร่วมฯ ทราบด้วย

 

ชยพลได้โชว์หนังสือนำส่งรายชื่อ Influencers ของ ทร. และเอกสารแนบท้าย สไลด์ บันทึกข้อความ ส่งบัญชี Influencers ให้ ผบ.ทร. ทราบ ซึ่งตัวอย่างหนังสือนำส่งรายชื่อกำลังพลของกองทัพเรือที่ทำหน้าที่เป็น Influencers หนังสือลงวันที่ 31 มกราคม 2568 เมื่อต้นปีนี้ และ Influencers แต่ละคนจะระบุชื่อบัญชีผู้ใช้ของตนเองในแต่ละแพลตฟอร์ม ที่มีกำลังพลในรายชื่อทั้งหมด 131 นาย แต่ละคนก็มีกันคนละหลายบัญชี กระจายตามแพลตฟอร์มต่างๆ ซึ่งข้อมูลที่ส่งให้ ผบ.ทร. รับทราบ ประกอบไปด้วยชื่อกำลังพล ตำแหน่งของตัวเอง ชื่อของบัญชีโซเชียลมีเดียในแต่ละแพลตฟอร์ม ยอดคนติดตาม กับยอดคนกดไลก์

 

Influencers ของกองทัพ ไม่ว่าจะเป็นบัญชีของคนหรือหน่วยงานที่มีตัวตนจริงๆ หรือเป็นบัญชีที่ปกปิดตัวตน จะถูกนำไปใช้ในปฏิบัติการ IO ด้วยสไลด์ คณะทำงาน สั่งการ แผน IRC (Information-Related Capabilities) เช่น ตามเอกสารของคณะทำงานความมั่นคงพิเศษ ทบ. ที่มีการสั่งให้ทุกหน่วยงานเริ่มดำเนินการตามแผนงาน IRC ที่ ศปก. ร่วมฯ ทีม ทบ. นำเสนอในทันที และได้มีการเน้นย้ำว่าให้เพิ่ม ‘การดำเนินการเชิงรุกต่อ HVT’ โดย IRC และ HVT (High Value Targets) หมายถึง ‘ขีดความสามารถที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลข่าวสาร’ เช่น เครื่องมือ เทคนิค หรือกิจกรรมต่างๆ เกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารที่จะส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของกลุ่มเป้าหมายแผนงาน IRC เป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการ IO ของกองทัพ

 

ชยพลกล่าวอีกว่า IRC เป็นเรื่องที่สอนกันในกองทัพทั่วโลก เป้าหมายเพื่อสร้างผลกระทบต่อการตัดสินใจของศัตรู แต่ในกรณีที่ตนอภิปรายนั้น ใครคือศัตรูของกองทัพไทย ซึ่งตามเอกสารของคณะทำงานความมั่นคงพิเศษ ทบ. และเอกสารไซเบอร์ทีมของกองทัพนั้น HVT คือ ‘กลุ่มเป้าหมายที่มีความสำคัญ และมีผลกระทบต่อสถาบันฯ สูง’ ซึ่งกลุ่มเป้าหมายเหล่านี้จะมีจำนวน และหน้าตาเปลี่ยนไปบ้างตามแต่ละสถานการณ์ 

 

โดยเป้าหมายสำคัญของกองทัพไทย ตั้งแต่ช่วงปลายสมัยรัฐบาลทหารของ คสช. ต่อเนื่องมาจนถึงรัฐบาลพลเรือนของแพทองธาร ซึ่งจากเอกสารคณะทำงานความมั่นคงพิเศษ ทบ. นอกจากจะสั่งให้ทุกเหล่าทัพจัดตั้งคณะทำงานความมั่นคงพิเศษ และให้ เริ่มดำเนินการปฏิบัติการ IO ภายใต้ ศปก. ร่วมฯ แล้ว ในเอกสารข้อที่ 8 ยังสั่งให้ กอ.รมน. หรือ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้อำนวยการสูงสุด จัดทำข้อมูลแผน และแนวทางการดำเนินงานในมิติสถาบันฯ รวมถึงข้อมูลสถานการณ์ และเป้าหมายบุคคล และกลุ่มมวลชนที่เคลื่อนไหว

 

ชยพลตั้งคำถามว่า นายกรัฐมนตรีเคยใส่ใจเข้าไปตรวจสอบบ้างหรือไม่ ว่า กอ.รมน. ที่ท่านนายกฯ เป็นผู้อำนวยการส่งข้อมูลอะไรไปให้ทีม IO ของกองทัพบ้าง และจากเอกสารก็จะพบว่า คณะทำงาน ทบ. ยังสั่งการให้ทุกหน่วยงานกำหนดเป้าหมายร่วมให้ตรงกัน และมีการสั่งการให้กำหนดเป้าหมายที่มีผลกระทบต่อสถาบันฯ สูง จำนวน 73 เป้าหมาย และกำหนดอีก 10 เป้าหมาย ที่เป็นเป้าหมายเร่งด่วนกลุ่มแรก เพื่อการดำเนินการ

 

นอกจากนั้น ยังสั่งการให้ ศปก. ร่วมฯ จัดตั้ง Cyber Team ทำหน้าที่ วางแผน และประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินการในแต่ละมิติ และมีมาตรการที่สอดคล้องกัน เพื่อให้เกิดผลการดำเนินงาน เกิดผลลัพธ์ตามเจตนารมณ์ของผู้บังคับบัญชา กระชับการบัญชาการให้ทุกเหล่าทัพ รวมศูนย์ไปอยู่ภายใต้ ศปก. ร่วมฯ หรือศูนย์ปฏิบัติการร่วม โดยมี Cyber Team ที่ตั้งขึ้นมาใหม่รับผิดชอบปฏิบัติการ IO โดยเฉพาะ

 

“ผมเชื่อมั่นว่า หลังจากที่ประชาชนไม่ยอมให้ พล.อ. ประยุทธ์ กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกแล้ว หากเรามีนายกรัฐมนตรีพลเรือนคนใหม่ที่มีสำนึกประชาธิปไตย มีเจตจำนงที่จะปฏิรูปกองทัพ ขบวนการ IO ของกองทัพที่ก่อร่างขึ้นมาใหม่นี้ จะต้องถูกตรวจสอบ ถูกทบทวน แต่ขบวนการ IO นี้กลับสุขสบายดี แถมเติบโตจนน่ากลัว ภายใต้นายกรัฐมนตรีที่ชื่อแพทองธาร และจากที่ตนติดตาม ในปัจจุบัน Cyber Team นี้ จะประชุมกันทุกวันพุธหรือพฤหัสบดี โดยสถานที่ประชุมก็อยู่ใกล้ๆ ตรงแถวสะพานเกษะโกมล ห่างจากสภาของพวกเราไปแค่ประมาณ 2 กิโล”

 

ชยพลยังได้โชว์ผังโครงสร้างทีมไซเบอร์ของกองทัพทั้งในระดับ staff และระดับผู้บัญชาการ โดยในระดับ staff หรือระดับผู้ปฏิบัติการนั้น จะประกอบไปด้วย บุคลากรจากกองทัพ และตำรวจ ส่วนในระดับผู้บัญชาการนั้น จะประกอบไปด้วย นายทหารระดับเสนาธิการ, รองแม่ทัพภาค และผู้บังคับการ ในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ส่วนคนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ ตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้งปี 2566 ต่อเนื่องมาจนถึงรัฐบาลแพทองธารในปัจจุบัน คอยบัญชาการ Cyber Team นี้ คือ รอง ผอ.ศปก.ร่วมฯ และเป็นอดีตผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งนายทหารท่านนี้ คือคนที่มีบทบาทสำคัญในการไล่จับ ไล่ฟ้อง ไล่ปราบ กิจกรรมต่อต้านรัฐประหารตั้งแต่ในยุค คสช. ช่วงแรก แต่เมื่อมาถึงยุครัฐบาลประยุทธ์ 2 ก็ได้ ย้ายเข้ามากรุงเทพฯ และมีบทบาทสำคัญในการปราบปรามม็อบราษฎร 

 

อีกทั้งโครงสร้างการบัญชาการของขบวนการ IO ตอนนี้ ดูจะสะท้อนสิ่งที่เราอาจจะเรียกได้ว่า เป็นรัฐซ้อนรัฐ กองทัพซ้อนกองทัพได้เป็นอย่างดี ประเทศของเรากำลังเกิดอำนาจรัฐที่อาศัยกลไกของกองทัพ ซ้อนขึ้นไปอยู่เหนืออำนาจของรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้ง และยังเกิดอำนาจของกองทัพที่ซ้อนขึ้นไปอยู่เหนือผู้บัญชาการกองทัพในระบบราชการปกติอีกด้วย

 

จากเอกสารรายงานการทำงานของ Cyber Team กลุ่มคนที่เป็นเป้าหมายของกองทัพจะถูกติดตาม ถูกสอดแนม และที่สำคัญคือ จะถูกขุดคุ้ยข้อมูลส่วนตัว มองหาจุดอ่อนต่างๆ หรือไม่ก็จะปั้นเรื่องขึ้นมาเป็น ‘ข้อมูล Dark Side’ หรือข้อมูลด้านมืด เพื่อใช้โจมตีเป้าหมาย 

 

ทั้งนี้ ชยพลได้ยกตัวอย่าง เช่น พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ที่ถูกระบุว่ามีพฤติกรรมต่อต้านรัฐบาลในขณะนั้น และมีการรายงานว่าทีมไซเบอร์ได้ ‘ดำเนินการสร้างภาพจำ’ ไปแล้ว 29 คอนเทนต์ โดยใช้ข้อมูล Dark Side เช่น ชอบเอาข้อมูลของตำรวจไปบอก สนธิ ลิ้มทองกุล ที่บ้านพระอาทิตย์ ในสมัยที่เป็นรักษาการ ผบ.ตร. และได้รับรถหรูมาจากบริษัทเอกชนที่อาจตกแต่งบัญชีเพื่อเลี่ยงภาษี 

 

รวมถึงถูกยื่น ป.ป.ช. ใช้ไต่สวนว่าปกปิดบัญชีทรัพย์สิน ในเอกสารยังระบุอีกว่า ให้ขยายผลสร้างภาพจำว่ามีคดีทุจริตจัดซื้อรถจักรยานยนต์ Tiger สมัยเป็น ผบ.ตร. และนอกจากข้อมูล Dark Side ก็ยังมีการสะกดรอยตาม ตามไปทุกที่ เกือบทุกวัน ตามไปถ่ายรูปตั้งแต่หน้าบ้านจนถึงตึกจอดรถของพรรคเพื่อไทย แอบถ่ายรูปรถตู้ Alphard สีดำของ พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ มาใส่ไว้ในรายงานด้วย

 

อีกทั้งในเอกสาร ยังมีการระบุเป้าหมาย คือ พรรณิการ์ วานิช ซึ่งถูกระบุพฤติกรรมว่ามีแนวคิดต่อต้านสถาบันฯ และสนับสนุนกลุ่มเห็นต่าง มีการดำเนินการสร้างภาพจำด้วยข้อมูล Dark Side ว่า มีแนวคิดสนับสนุนแนวร่วมของคอมมิวนิสต์ในอดีต และยังมีเรื่องส่วนตัวที่เกี่ยวข้องกับการชู้สาว

 

นอกจากนี้ยังมี พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ถูกระบุว่า มีพฤติกรรมต่อต้านสถาบันฯ ต่อต้านรัฐบาล มีรายงานการดำเนินการสร้างภาพจำด้วยข้อมูล Dark Side เช่น มีการระบุให้ทุกหน่วยทำไอโอด้อยค่าเรื่องการหาเสียง ยุให้สร้างความแตกแยกภายในพรรค ไปจนถึงบิดเบือนโจมตีเรื่องส่วนตัวต่างๆ ซึ่งเอกสารที่โชว์อยู่นี้เป็นรายงานปฏิบัติการ IO ในช่วงก่อนเลือกตั้ง นั่นหมายความว่า กองทัพไทยเจตนาใช้ทรัพยากรของรัฐทำ IO เพื่อแทรกแซงการเมืองในช่วงเลือกตั้งด้วยอย่างชัดเจน เป็นการกระทำผิดกฎหมาย และไม่เกี่ยวอะไรกับการรักษาความมั่นคงหรือการปกป้องสถาบันฯ

 

นอกจากนั้น กองทัพภายใต้นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ยังจัดกลุ่มเป้าหมายออกเป็นประเภทต่างๆ เช่น ทุนต่างชาติ, ผู้ที่มีบทบาทจุดประเด็นในสังคม, กลุ่มสร้างกระแสชี้นำแนวคิดเยาวชน และกลุ่มเป้าหมายที่เป็นนักวิชาการ และ NGOs 

 

ชยพลยังกล่าวถึง Cyber Attacks โดยหยิบยก Social Bot คือบัญชี Social Media ที่ไม่ได้ใช้คนจริงๆ ไปเล่น แต่เขียนโปรแกรมให้โพสต์ ให้แชร์ แบบอัตโนมัติ Bot พวกนี้มักจะถูกเขียนโปรแกรมให้พุ่งเป้าไปที่กลุ่มเป้าหมาย Influencers หรือ บัญชีที่มีผู้ติดตามเยอะๆ แล้วโพสต์ข้อมูลข่าวสารที่ต้องการออกไป โดยเฉพาะข่าวปลอม เพื่อให้คนจริงๆ แชร์ต่อๆ กันไปในโซเชียลมีเดียหลายแพลตฟอร์ม จึงแบนการใช้ Social Bot เพราะถือว่าเป็นสแปมรูปแบบหนึ่ง และกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการกระจายข่าวปลอมหรือ Fake News และจากเอกสารของทีมไซเบอร์ของกองทัพไทยภายใต้นายกรัฐมนตรีที่ชื่อแพทองธาร ได้รายงานว่ากองทัพบก และกองบัญชาการกองทัพไทยได้ใช้งาน Social Bot มากถึง 226 ตัว 

 

ชยพลยังกล่าวถึงดีลแลกประเทศว่านายกรัฐมนตรี อาจจะชอบใจ ที่พรรคการเมืองฝ่ายค้านถูก IO กองทัพโจมตี แต่นายกรัฐมนตรีไม่ได้ตระหนักว่า ตัวเองทำดีลเพื่อแลกกับการสยบยอมไม่แตะต้องกองทัพนั้น จะทำลายระบอบประชาธิปไตยอย่างร้ายแรง ถ้ายังปล่อยให้ขบวนการขยายตัว เติบโตยิ่งกว่านี้อยู่ รัฐบาลทหาร และไม่ถูกควบคุมโดยรัฐบาลพลเรือน กองทัพก็ยะแทรกแซงการเมืองได้อย่างตามอำเภอใจ ส่งผลให้เซาะกร่อนบ่อนทำลายประชาธิปไตย เพราะในเอกสารของ กอ.รมน.ประมาณการภัยคุกคามด้านความมั่นคงฯ ยังระบุถึงกลุ่มชื่อบุคคลที่แสวงหาประโยชน์โดยแอบอ้างสถาบัน ซึ่งมีชื่อ ทักษิณ ชินวัตร, ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า และ อนุทิน ชาญวีรกูล ที่สุดท้ายก็ไม่มีใครรอด เพราะเขาต้องการการผูกขาดความจงรักภักดีไว้กับกองทัพไว้ฝ่ายเดียว

 

“ผมก็เกิดมาในครอบครัวทหารหลายคนก็อยากเห็นกองทัพไทยทันสมัย แต่ยังมีนายพลบางกลุ่มหาผลประโยชน์จากกองทัพ ไปยุ่งเกี่ยวการเมือง และนายพลอีกกลุ่ม ก็มักแอบอ้างสถาบันฯ หากนายกรัฐมนตรีไม่ดำเนินการตามที่สัญญาไว้กับประชาชน ละทิ้งการปฏิรูปกองทัพ ยอมปล่อยให้ทหารบางกลุ่มใช้กลไกของรัฐเป็นเครื่องมือคุกคาม ปลุกปั่น สร้างความแตกแยก และหากยอมรับให้กองทัพอยู่เหนือการควบคุมของรัฐบาลพลเรือน จะกลายเป็นรัฐซ้อนรัฐ กองทัพซ้อนกองทัพ เมื่อไรที่นายพลบางกลุ่มสร้างสถานการณ์จนสุกงอม พวกเขาก็พร้อมที่จะก่อรัฐประหารอีกครั้ง” ชยพลกล่าว

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising