วันนี้ (25 มีนาคม) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 26 (สมัยสามัญประจำปี ครั้งที่ 2) วาระพิจารณาญัตติอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลวันที่ 2 ตลอดทั้งวันเกือบ 9 ชั่วโมงนั้นมีฝ่ายค้านอภิปรายไปแล้วทั้งสิ้น 5 คน ประกอบด้วย
- ภคมน หนุนอนันต์ สส. บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้อภิปรายเรื่องนายกรัฐมนตรี ว่าเป็นผู้ที่ไม่มีคุณสมบัติของผู้นำประเทศ ขาดความรู้ความสามารถ ไม่มีวุฒิภาวะของผู้นำ และไม่มีเจตจำนงที่จะรับใช้ประชาชน
- รังสิมันต์ โรม สส. บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้อภิปรายกล่าวหา เรื่องชั้น 14 ซึ่งมีพยานหลักฐานสำคัญยืนยันได้ว่า แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ผู้ใกล้ชิดกับ ‘นายใหญ่’ มากที่สุด เดิมทีนายกรัฐมนตรีเป็นเพียงประจักษ์พยาน แต่ต่อมานายกรัฐมนตรีกลายเป็นตัวการสำคัญในการกระทำความผิดต่อกฎหมายบ้านเมือง ที่มีโทษฐานที่รุนแรง ท้ายที่สุดคือขาดคุณสมบัติการเป็นนายกรัฐมนตรี
- รักชนก ศรีนอก สส. กทม. พรรคประชาชน ได้อภิปรายถึงปัญหาอาชญากรรมทางไซเบอร์เกิดจากการที่นายกรัฐมนตรีจงใจละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อเอื้อประโยชน์ให้พวกพ้องและกลุ่มทุน จงใจปล่อยให้เกิดการทุจริตในระบบราชการ มองการคอร์รัปชันที่เกิดขึ้นจนทุกวันนี้ก็ยังไม่มีแนวทางการจัดการว่าปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์จะจบลงอย่างไร
- ศิริกัญญา ตันสกุล สส. บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้อภิปรายถึงความล้มเหลวด้านเศรษฐกิจของรัฐบาล
- สิทธิพล วิบูลย์ธนากุล สส. บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้มีการอภิปรายเรื่องปัญหาทุนจีนที่เข้ามาประกอบธุรกิจในประเทศ
ส่วนฝั่งรัฐบาลนั้น แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ลุกขึ้นชี้แจงครั้งแรกเมื่อ 15.40 น. ว่า ผ่านการอภิปรายมาแล้วหนึ่งวัน ฝ่ายค้านก็บอกว่าอยากให้ตนเองชี้แจงยาวๆ หน่อย ซึ่งก็จะพยามชี้แจงและใช้เวลาของสภาให้คุ้มค่าที่สุด และอีกเหตุผลคือหลายท่านอภิปรายไปแล้วเมื่อวาน ได้อภิปรายถึงคนอื่น เรื่องของรัฐบาลชุดอื่น ไม่แน่ใจว่าจะตอบอย่างไรดี
นายกรัฐมนตรีชี้แจงกรณีการครอบครองที่ดินโรงแรมเทมส์ วัลลีย์ เขาใหญ่ว่า ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย ธุรกิจบริษัทของครอบครัวตอนนี้ทุกอย่างทำถูกต้องตามกฎหมายทั้งหมดในการประกอบกิจการโรงแรม เช่นเดียวกับผู้ประกอบการอื่นๆ ในบริเวณนั้นซึ่งจริงๆ ก็หาข้อมูลไม่ยากเพราะติดถนนเลย ซึ่งการประกอบการกิจการทำธุรกรรมใดๆ ของครอบครัวถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ
ส่วนการอภิปรายเรื่องคอลเซ็นเตอร์รัฐบาลได้ปฏิบัติการ และทำไปไกลกว่านั้นเยอะแล้ว โดยได้แก้ปัญหาไปได้ไกลมากพอสมควรแล้ว ถือว่าดี และเป็นประโยชน์ที่ได้อภิปรายเพื่อมาช่วยสรุปข่าว โดยการแก้ไขปัญหาเรื่องคอลเซ็นเตอร์ ได้ทำต่อเนื่องมาตั้งแต่ในสมัยยุครัฐบาลเศรษฐา มีการประสานมือ ประสานงาน ประสานแรง กำลังต่างๆ กับประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งเมียนมา จีน กัมพูชา การปราบปราม การตัดไฟ ซึ่งตนเองได้เคยมาตอบไปแล้วในการตั้งกระทู้ถามสดที่สภา
เรื่องการตัดสัญญาณ ได้มีคำชมอย่างทันทีภายหลังหลังจากที่ตนเองเดินทางไปที่ประเทศจีน ได้รับคำชมว่าตัดสินใจเด็ดขาดมาก และดำเนินการอย่างรวดเร็ว ก็ได้คำชมจากสีจิ้นผิง จึงเป็นความภาคภูมิใจของคนไทยทุกคน โดยทางการจีนมีการสนับสนุนข้อมูลและการข่าวต่างๆ ซึ่งในวันนี้ก็พูดได้ว่าปัญหาคอลเซ็นเตอร์ที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด มาจากความร่วมมือจากทุกประเทศที่เราขอความร่วมมือ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่เรามีความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้าน และให้ความร่วมมือกับเราอย่างเต็มที่
ส่วนเรื่องดิจิทัลวอลเล็ตที่เป็นนโยบายเรือธงของรัฐบาล กำลังเผชิญมรสุมการคัดค้านจากหลายองค์กร ซึ่งแน่นอนว่ารัฐบาลรับฟังความคิดเห็นต่างๆ เหล่านี้ เป็นประโยชน์ก็รับฟัง ซึ่งสิ่งที่เป็นนโยบายใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นครั้งแรก จริงๆ เราเคยชินกันอยู่แล้ว เพราะเราเป็นคนริเริ่มอะไรใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นนโยบายในอดีตที่นำกลับมาใช้ใหม่ก็เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน
“ดิจิทัลวอลเล็ต เราพยามประคับประคองอย่างดีเพื่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะเป้าหมายของเราคือการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะฉะนั้น ในสองรอบแรกเราจำเป็นจะต้องแจกเป็นเงินสด แม้จะถูกมองว่าไม่ตรงปก แต่ยืนยันว่าตรงเป้าแน่นอนเป้าหมายระยะยาวของนโยบายนี้คือการยกระดับสังคมไทยเป็นสังคมดิจิทัล ดิฉันเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า ภายในหนึ่งวาระของรัฐบาลนี้จะเกิดผลเป็นรูปธรรม ปกก็ตรง เป้าก็โดน”
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ได้ลุกขึ้นกล่าวชี้แจงในกรณีชั้น 14 ว่า ทราบว่าท่านสมาชิกฝ่ายค้านที่อภิปรายเรื่องนี้ เราก็มีความคิดเห็นที่ต่างกัน เพราะว่าท่านก็เคยไปมีความเคลื่อนไหวกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่จังหวัดภูเก็ต แต่อย่างไรก็เชื่อมั่นว่า ท่านคงไม่ได้ใช้อารมณ์ความรู้สึกจากตอนนั้น มาอภิปรายตนเองในวันนี้ด้วย
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า รายละเอียดต่างๆ ที่เกี่ยวข้องรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้พูดไปในรายละเอียดหมดแล้ว ขอชี้แจงประเด็นในฐานะของลูกสาวคนหนึ่ง เพราะตั้งแต่คุณพ่อกลับมาอยู่ที่ประเทศไทย จนถึงวันที่ออกจากโรงพยาบาลชั้น 14 ตนเองยังไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีเลย ไม่อยากให้ท่านอภิปรายให้เกิดความสับสน เหมือนกับว่าตนเองเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว และมีอำนาจในการสั่งข้าราชการ หรือสั่งใครใดๆ
“ดิฉันเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ตอนนั้นไม่มีอำนาจใดๆ เลย และในเรื่องของความถูกต้อง หรือระเบียบ ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งไหนก็ตาม ทุกคนที่มีหน้าที่รักษากฎระเบียบ เขาก็ต้องทำแบบนั้น อย่างที่บอกว่าการอภิปรายอะไรแบบนี้ ก็ต้องเห็นค่าของผู้ที่รักษากฎหมาย คนที่เป็นข้าราชการด้วย เพราะการพูดแบบนี้ เหมือนเป็นการด้อยค่าไปด้วยในตัว” แพทองธารกล่าว
แพทองธารกล่าวอีกว่า ที่ผ่านมามีสมาชิกกล่าวหาว่าที่คุณพ่อได้กลับมา เพราะมีการดีลกับปีศาจผ่านการจัดตั้งรัฐบาลชุดนี้ โดย 100% ไม่ใช่ความจริงเลย เพราะนี่คือการตัดสินใจของท่านอย่างเต็มรูปแบบว่าจะกลับมา ด้วยความที่รู้จักคุณพ่อ ก็ไม่อยากให้ท่านกลับมาแล้วต้องติดคุก หรือต้องถูกจำกัดที่ทาง เป็นห่วงจึงบอกว่าไม่เป็นไร อยู่เมืองนอกเราก็เจอกันได้ แต่ท่านก็บอกเลยว่า อยากใช้เวลาที่เหลือของท่าน เพราะปีนี้ก็อายุ 75 ปีแล้ว อยากใช้เวลาที่เหลือกับครอบครัวที่เมืองไทย อยากอยู่เมืองไทย เพราะชีวิตท่านเติบโตที่เมืองไทยมาโดยตลอด ท่านมีความรัก และห่วงพี่น้องประชาชนอย่างมาก คิดอะไรก็จะคิดเรื่องเศรษฐกิจเพื่อให้พี่น้องประชาชนรวย
แพทองธารกล่าวต่อไปว่า ถ้าวันนั้นทางพรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกลจับมือกันสำเร็จ และตั้งรัฐบาลได้ ท่านเป็นผู้นำรัฐบาล ส่วนพวกเราเป็นพรรคร่วมรัฐบาล อย่างไรทักษิณก็กลับมาอยู่ดี ไม่ว่ารัฐบาลนั้นจะเป็นรัฐบาลที่จัดตั้งโดยใคร นี่คือเรื่องจริงที่คุณพ่อตั้งใจแล้วว่าจะกลับให้ได้
ส่วนเรื่องของกระบวนการขอพระราชทานอภัยโทษ เป็นสิทธิของผู้ต้องขังความ ซึ่งมีขั้นตอนกระบวนการต่างๆ ที่ขอไม่ก้าวล่วง แต่ก็เป็นสิทธิของผู้ที่มีคดีความทุกคน ถ้าจะพูดเรื่องว่าท่านป่วย ป่วยจริง หรือป่วยหลอก เมื่อแพทย์วินิจฉัยว่าคุณพ่อมีอาการป่วย การรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจก็เป็นสิ่งที่ชัดเจน
“ถ้าดิฉันจะบอกว่าคุณพ่อที่อายุ 70 กว่าปีป่วย ต้องได้รับการผ่าตัดในช่วงที่เป็นโควิดหนักมาก น้ำหนักลดไป 10 กว่ากิโลกรัม ทำให้เกิดอาการผมร่วง จะเชื่อหรือไม่ ถ้าจะบอกคนที่อายุ 70 ขึ้นไป ต้องผ่าตัด และการผ่าตัดไม่ได้ง่ายเหมือนคนอายุ 20-30 กว่า ท่านเชื่อหรือไม่ เพราะฉะนั้น ดิฉันก็ไม่ทราบว่าจะต้องอธิบายแบบไหน แต่ขณะนี้ เราก็มีการยื่นเรื่องต่อแพทยสภา เชื่อว่าผลสรุปออกมาได้ อีกไม่นานนี้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ท่านจะยอมรับ เพราะถามจากดิฉัน และดิฉันตอบไป ท่านก็ไม่เชื่ออยู่ดี ซึ่งก็ไม่ทราบว่าต้องทำอย่างไร” แพทองธารกล่าว
นายกรัฐมนตรีกล่าวอีกว่า เมื่อมีกระบวนการตรวจสอบทักษิณในหน่วยงานต่างๆ ในฐานะลูกเอง ย่อมห่วงใยแน่นอน และในฐานะของนายกรัฐมนตรี ไม่เคยใช้อำนาจไปแทรกแซงในหน่วยงานไหนๆ เลย อย่าดูถูกข้าราชการไทย อย่าดูถูกระบบข้าราชการของไทย ยุคสมัยนี้ทุกอย่างตรวจสอบได้ จึงไม่เคยแทรกแซงกระบวนการเหล่านี้เลย
“ตลอดการอภิปราย ท่านสมาชิกเรียกร้องให้ดิฉันลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นสิทธิที่ทุกท่านในสภาอันทรงเกียรติแห่งนี้ทำได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ท่านทำไม่ได้ คือขอให้ดิฉันลาออกจากความเป็นลูกสาวหรือความเป็นแม่ สิ่งนี้ดิฉันลาออกไม่ได้” แพทองธารกล่าว
แพทองธารยืนยันว่า พร้อมทำงานให้กับคนทุกกลุ่ม ทุกคน ทุกจังหวัด ทุกที่ เพราะสวมหมวกของนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ทำหน้าที่นี้อย่างเต็มที่ และสุดความสามารถแน่นอน ในขณะเดียวกันในฐานะของลูกสาว ตนเองก็คือลูกสาวของ ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งพูดคำนี้ด้วยความภาคภูมิใจตั้งแต่สามารถพูดได้ และแน่นอนว่าขอให้ทุกท่านดู และพิสูจน์ที่ความสามารถและความตั้งใจของตนเองในการทำงานอย่างเต็มที่ ในฐานะของนายกรัฐมนตรี หากจะมีการอภิปราย หรือวิจารณ์ใดๆ ขอให้วิจารณ์เรื่องการทำงาน ก็น่าจะเป็นประโยชน์กว่าทั้งต่อสภาแห่งนี้ และต่อประเทศของเรา
จากนั้นรังสิมันต์จึงได้ลุกขึ้นชี้แจงระบุว่า ในฐานะที่อภิปรายเรื่องกรณีชั้น 14 และถูกกล่าวหาว่าเข้าร่วมกลุ่มพันธมิตรที่จังหวัดภูเก็ตว่า ตนเองเข้าใจว่านายกฯ มีประสบการณ์ชีวิตหลายอย่างที่เจ็บปวด จึงขอให้กำลังใจท่านในช่วงที่ผ่านมา แต่เหตุการณ์ที่ผ่านมาก็คือที่ผ่านมา วันนี้พวกเรารับไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น
รังสิมันต์ยืนยันว่า ชั่วชีวิตนี้ไม่เคยเข้าร่วมกลุ่มพันธมิตร ไม่ว่าจะเป็นที่กรุงเทพหรือภูเก็ต ตนเองอายุ 14 ปีในตอนที่พ่อของนายกฯ ถูกรัฐประหาร มีโอกาสเรียนที่โรงเรียนทวีธาภิเษก กรุงเทพมหานคร ยืนยันว่าไม่เคยเข้าร่วมกับกลุ่มพันธมิตร เพราะไม่เห็นด้วยกับอุดมการณ์ และความคิดของกลุ่มพันธมิตร หากจะมีความคิดไหนที่ใกล้เคียงที่สุดคือ กลุ่มเรียกร้องประชาธิปไตย ที่เขานิยามตนเองว่า ‘เสื้อแดง’
“แต่ผมไม่เคยนิยามตนเองว่าเป็นคนเสื้อแดง เพราะตะขิดตะขวง ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่พ่อของท่านทำหลายเรื่อง ผมคือตัวผม หลังการรัฐประหารครั้งที่ 2 ยึดอำนาจจากคุณอาของท่าน (ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) ผมเป็นคนแรกๆ ที่มาต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย แต่ผมไม่เคยเข้าร่วมพันธมิตร ไม่เคยไปยึดสนามบินอะไรทั้งสิ้น” รังสิมันต์กล่าว
รังสิมันต์ยังชี้แจงอีกว่า ถ้าพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล ท่านอดีตนายกรัฐมนตรีจะไม่มีทางได้รับสิทธิพิเศษใดๆ อย่างแน่นอน
จากนั้นแพทองธารกล่าวขอบคุณสำหรับการชี้แจง ระบุว่า “ดิฉันพร้อมรับข้อมูลใหม่ๆ เสมอ ท่านจะได้เข้าใจว่าการถูกเข้าใจผิดเป็นอย่างไร ขอบคุณค่ะ”