วันนี้ (24 มีนาคม) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 26 (สมัยสามัญประจำปี ครั้งที่ 2) วาระพิจารณาญัตติอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลเป็นวันแรก ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ลุกขึ้นชี้แจงว่า ตนเองได้ฟังที่ กัณวีร์ สืบแสง สส. พรรคเป็นธรรม พูดถึงการจัดส่งชาวอุยกูร์กลับประเทศจีน และกล่าวหารัฐบาลสารพัดว่า รัฐบาลเล่นละครแบบนั้นแบบนี้ ตนเองขอยืมใช้คำพูดของท่านเหมือนกัน ว่าท่านเป็นนักโกหกตัวยง ตนเองมีเรื่องมาหักล้างท่าน ท่านอย่าคิดว่าตนเองกล่าวเลื่อนลอย
ภูมิธรรม กล่าวต่อว่า ตนเองจะเล่าให้ฟังก่อนว่าสิ่งที่ท่านพูด ก็เข้าใจได้ว่าท่านไร้ประสบการณ์ ไม่เคยบริหารประเทศ เพราะฉะนั้นจึงพยายามจะพูดหลายเรื่อง เพื่อให้ต้องมาแสดงออกโดยไม่คำนึงว่าผลประโยชน์ของประเทศ และความมั่นคงของชาติ จะต้องใช้ความระมัดระวังอะไร ใช้แต่จินตนาการพูดแล้วเหมือนไม่รักประเทศ และจินตนาการต่อไปเรื่อยๆ โดยนำสิ่งเหล่านี้มาวิจารณ์คนอื่น ว่าเป็นนักต้มตุ๋นว่าเป็นนักแสดงจริงๆ ทั้งหมดนี้ ถ้าท่านชี้นิ้วมาที่ตนเอง ทั้งหมดจะย้อนกลับไปที่ท่าน แล้วจะตอบว่า แต่ละเรื่องที่ท่านโกหกมีอะไรบ้าง
ภูมิธรรม กล่าวว่า ตนเองอยากเล่าเรื่องเกี่ยวกับชาวอุยกูร์ ปัญหาเรื่องชาวอุยกูร์เป็นปัญหาที่ตกค้างมานานมาก ซึ่งชาวอุยกูร์ที่เข้ามาติดเรื่องการเข้าประเทศผิดกฎหมาย โทษอย่างสูงก็ 2 ปี แต่รัฐบาลไทยที่ผ่านมายังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ จึงได้ขังมากว่า 11 ปี ซึ่งการขังกว่า 11 ปีนั้น เป็นเรื่องที่ผิดหลักมนุษยธรรม แต่ปัญหาของประเทศไทย คือเราอยู่บนทางสองแพร่ง ล้วนแต่มีคนวิพากษ์วิจารณ์ทั้งสิ้น รัฐบาลที่ผ่านมาจึงไม่กล้าตัดสินใจโดยแท้ แต่รัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลที่อาสาเข้ามาแก้ปัญหา
ฉะนั้นหลายเรื่องที่นายกฯ สั่งการให้ตนเองไปดำเนินการ ก็บอกเลยว่า ถ้าแก้ได้ ให้รีบแก้ หาทางออกให้ได้ อย่าปล่อยให้รัฐบาลนี้ต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆ ที่เข้ามา แล้วไม่ได้ทำอะไร อุยกูร์เป็นอีกหนึ่งเรื่อง อุยกูร์เป็นเรื่องที่เราต้องจัดการ เพราะเรามีกฎหมายทรมานอุ้มหาย เพราะฉะนั้นการที่เราขังเขาเกินกว่าโทษที่เขาควรจะได้รับ เพราะจริงๆ แล้วแค่ 2 ปีเท่านั้น สารภาพ และอาจจะเหลือ 1 ปี หรือครึ่งปี
แต่เราขังเขามากกว่า 11 ปี ตนเองเศร้าใจว่าทำไมไม่เก็บเขาไว้ในคุกแล้วไปต่อรองกับสหรัฐอเมริกา นี่เป็นคำพูดที่ไม่เห็นความเป็นมนุษย์ของคนเลย เป็นคนหนุ่มรุ่นใหม่ ที่อยู่ในพรรคของพวกท่านนี่แหละ ท่านอย่ามองคนอื่นเป็นสินค้า ท่านต้องมองให้เห็นความเป็นมนุษย์ของเขาอย่างแท้จริง ไม่ใช่ปากพูดมนุษย์ แต่วิธีการปฏิบัติไปได้เรื่อยๆ ไม่เคยคำนึงถึงอะไรเรื่องชาวอุยกูร์ เรามีทางเลือกอยู่ 3 ทาง คือ
- ขังเขาต่อไป ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สมควรควรจะต้องหาทางออกให้เขา การขังเขาแม้ว่าเราจะปฏิบัติดี อย่างไรก็ตาม เราเองหาทิศทางให้ดี และเจ้าหน้าที่เราดูแลเขาอย่างดี ให้โอกาสเขาได้ปฏิบัติหน้าที่อะไรหลายๆ อย่างที่เขาควรจะกระทำ แต่มันก็ทรมาน
“คนเราในคุก อยู่ในกรงขัง ห่างจากบ้านเมืองมา ท่านไม่เคยอยู่ในสภาพนี้ เพราะฉะนั้น ท่านไม่รู้หรอกว่าคนที่เขาเผชิญกับความจริงเป็นอย่างไร ท่านได้แต่นั่งจินตนาการ คิดนู่นคิดนี่ไปเรื่อย” นายภูมิธรรม กล่าว
2.ส่งไปประเทศที่สาม ตนเองถามท่าน ถ้าชาวอุยกูร์เป็นเรื่องความสำคัญระหว่างด้านสิทธิมนุษยชนจริงๆ ทำไมถึงไม่มีใครขอเขากลับไป ทำไมถึงไม่มีใครให้สิทธิผู้ลี้ภัยกับเขา แม้กระทั่งองค์การระหว่างประเทศ ก็ยังไม่เห็นไยดีเลย ถ้าให้สถานะเป็นผู้ลี้ภัย รัฐบาลไทยก็จะจัดการได้ดีขึ้น มีแต่คนพูด ไม่เคยดูว่าความเป็นจริงจะทำได้อย่างไร บอกว่ายินดีจะพูด จะรับ แต่จดหมายที่เป็นทางการอย่างที่พึงกระทำไม่เคยมี
“เพราะฉะนั้น เรื่องการไปประเทศที่สาม เป็นเรื่องความเพ้อฝันของพวกท่าน เป็นเรื่องความเพ้อฝันของคนอีกหลายคน” ภูมิธรรมกล่าว
3.ส่งเขาไปให้กลับประเทศเจ้าของ ท่านบอกว่าเขาไม่ใช่ชาวจีน มีบางคนที่บอกว่ามีหลักฐานว่าเขาเป็นชาวตุรกี ท่านโกหก ตนเองมีหลักฐานทั้งหมดว่า 40 คนเป็นคนจีน ท่านบอกว่า 40 คนนี้เป็นคนที่ถือสัญชาติตุรกี อันนี้ก็โกหก ท่านบอกว่าท่านไม่สบายใจ ถูกบังคับว่าเล่นละครชุดใหม่ ว่าเขาพวกนี้ต้องการบังคับ จนกระทั่งหยิบเอาจดหมายที่ปลอมขึ้นมาพูด ตนเองมีหลักฐานแน่นอนว่า 40 คนสมัครใจ ท่านอยากเจอ อยากทราบ ก็พบกันได้เอาหลักฐานมาเปิดให้ดูต่อหน้าสื่อมวลชน
ภูมิธรรม ระบุว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พวกเราไม่เคยสบายใจ ตนเองจะเรียนให้ทราบ เอกอัครราชทูตของประเทศต่างๆ มาเจอตนเอง เขาห่วงใย แต่พอหลังจากที่ตนเองชี้แจงเรื่องราวทั้งหมดให้เขา เขาก็เข้าใจ อย่างไรก็ตาม เขามีวุฒิภาวะ เขาเป็นตัวแทนรัฐบาล และรู้ว่าแม้ว่าเขาจะชอบใจ หรือไม่ชอบใจอะไร อย่างไรก็ตาม แต่เขายืนอยู่กับความเป็นจริง กับข้อเท็จจริง ไม่ใช่ยืนอยู่กับจินตนาการ ฝันไปเรื่อย พูดไปเรื่อย คิดไปเรื่อย และชี้นิ้วใส่คนอื่นว่ามีปัญหา จริงๆ ต้องหันกลับดูตัวเองให้มากๆ นะครับว่าคนมีปัญหาคือใคร
ภูมิธรรม กล่าวว่า เรารู้ว่าการส่งกลับเมืองจีนในแง่สิทธิมนุษยชน มีคนเป็นห่วง เพราะข้อกฎหมาย เราบอกไปว่าถ้าส่งเขาไปแล้วเขาจะทุกข์ทรมาน เราไม่สมควรส่ง จึงเป็นที่มาของการดำเนินการหลายเรื่อง การที่เราขอจีนออกจดหมายรับรองอย่างเป็นทางการของรัฐบาล ท่านคงไม่ได้จบการต่างประเทศ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศท่านไม่รู้หรอกว่าในวงการ จดหมายรับรองอย่างเป็นทางการ คือจดหมายสำคัญ ซึ่งจีนที่เป็นส่วนหนึ่งในสหประชาชาติ เขายืนยันพูด และส่งหลักฐานนี้มาให้ หากท่านไม่รับ ก็อย่ามีความสัมพันธ์กับเขาเลย หากคิดว่าประเทศที่ท่านมีความสัมพันธ์ด้วย เป็นมหาอำนาจ พูดโดยเอาหนังสือยืนยันว่าตัวเองยืนยันว่าจะไม่ทำร้ายเขา และไม่ยอมรับท่านจะมีความสัมพันธ์กับเขาไปทำไม
ภูมิธรรม กล่าวอีกว่า นอกจากเราพยายามขอให้เขาดำเนินการ เขายังดำเนินการอีกหลายอย่าง แม้แต่นายกรัฐมนตรีของเรา ท่านจะยอมรับหรือไม่ยอมรับก็ตาม แต่คนไทยทั้งประเทศยอมรับ เขาไปในนามประเทศ ไปคุยกับผู้นำจีน ไปเยี่ยมจีน ผู้นำระดับสูงของเขาหลายคนได้พูดกับนายกรัฐมนตรีว่าเขาอยากแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ และเขารับประกัน ไม่ต้องกังวล เขาจะทำดีที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดภัยอันตราย ไม่จับเข้าคุก เข้าตะราง ท่านฟังอย่างนี้ ท่านคิดว่าในฐานะ ถ้าท่านเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว ไปคุยกับผู้นำระดับสูงของประเทศที่เป็นมหาอำนาจหนึ่ง ยืนยันแบบนี้ ท่านจะเชื่อฟังได้หรือไม่
“แต่ผมเชื่อว่าท่านไม่รู้หรอก เพราะท่านไม่เคยเป็นรัฐบาล เคยเป็นแต่ฝ่ายค้าน แล้วก็พูดแต่เรื่องวิจารณ์ เอาจินตนาการมาด่าคนอื่น”
ภูมิธรรม กล่าวต่อว่า เราวางระบบกลไกไว้ 5 ประการ ประกอบด้วย
1.การตกลงของเราอยู่บนพื้นฐานของการมีอำนาจอธิปไตยของไทย
2.เป็นไปตามกรอบกฎหมายภายในประเทศ
3.คำนึงถึงผลประโยชน์ของไทยในกรอบของมิติความสัมพันธ์กับประเทศต่างๆ และความมั่นคงแห่งชาติ
4.เป็นไปตามหลักการ หรือสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะหลักการที่จะไม่ส่งคนไปยังที่อันตราย รวมทั้งพันธกรณีของไทยตามหลักการที่จะไม่สมควรไปเผชิญกับการทรมาน หรือการถูกทำให้สูญหาย
5.เป็นการพิจารณาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วยความรอบคอบ
“ท่านไม่เคยคิดจะเข้าใจสิ่งที่เป็นความตั้งใจของรัฐบาล ท่านไม่เคยคิดจะเข้าใจความคิดความต้องการของคนอื่นท่านคิดแต่ตัวเองหมกมุ่นอยู่กับตัวเองสนใจแต่เรื่องตัวเอง” ภูมิธรรม กล่าว
ภูมิธรรม ชี้แจงต่อว่า 5 ข้อที่เป็นหลักใหญ่ และเป็นกฎหมายที่ทั่วโลกยอมรับ และเราดำเนินการทุกอย่างเป็นไปตามหลักนี้ทุกอย่างเช่นกัน เราใช้เวลาในการที่จะเคลียร์กับทุกส่วนที่เป็นตัวแทนของแต่ละประเทศ เพื่อหาทางออกให้กับประเทศ ตนเองคุยกับประเทศต่างๆ ที่มาพบทุกคนสนใจเรื่องอุยกูร์ ไม่ว่าจะเป็นประเทศทางยุโรป เอเชีย
สิ่งที่ตนเองบอกให้เขาฟัง ว่าเราไม่เคยเลือกข้างอย่างที่ท่านเข้าใจ เรารู้ดีว่าเราเป็นประเทศเล็กๆ ที่มีศักดิ์ศรีในตัวเอง คนที่เป็นมหาอำนาจก็ขัดแย้งกันตามภูมิรัฐศาสตร์ปัจจุบัน เราไม่อาจไปเลือกข้างใครได้ และแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี และการเจรจาที่เกิดขึ้นในประเทศต่างๆ การเลือกให้ประเทศไทยเดินต่อไปได้ ตนเองจึงตัดสินใจ ท่านนายกฯ ได้มอบหมาย ให้ไปพิจารณาดู ตนเองประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ซึ่งประกอบไปด้วยรัฐมนตรี 9 กระทรวง มีครบทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ภูมิธรรมกล่าวต่อว่า เราไม่ได้ใช้เวลาแป๊บเดียว เราหารือทั้งหมด แต่การแก้ไขปัญหาให้ประเทศชาติ เพื่อหลุดพ้นกับความขัดแย้งเหล่านี้ ท่านทราบหรือไม่ว่าในโซเชียลมีเดียทั้งหมด ประชาชนส่วนใหญ่ เขาเห็นด้วยกับการตัดสินใจอันนี้ เพราะเขารู้ว่ามันไม่ใช่ภารกิจที่ประเทศไทยควรต้องแบก และคิดว่าการตัดสินใจแบบนี้ เป็นการตัดสินใจที่กล้าที่จะเอาประเทศไทยให้ออกจากวิกฤต ในความเป็นจริงท่านอาจไม่รู้ เพราะท่านสนใจแต่ข่าวที่ท่านชอบ และสนใจ ไม่มีปัญหาแบบนั้น ทั้งหมดที่เราเดิน และตนเองอยากย้ำว่านายกัณวีร์โกหกหลายเรื่อง
ภูมิธรรม กล่าวว่า ตนเองตัดสินใจเดินทางไปมณฑลซินเจียงอุยกูร์ที่ผ่านมา ตนเองอายุ 72 ปี แล้ว ไปยากลำบากมาก นั่งรถไปตามทางสองข้าง เหมือนทะเลทราย แต่ละบ้านอยู่ห่างไกล 200 – 300 กิโลเมตร ก็ไปเพื่อต้องการพิสูจน์ให้เห็นด้วยตาตนเอง ไม่อยากจินตนาการ ตนเองอยากไปดูจริงๆ ว่ามันเป็นอย่างไร สิ่งที่ตนเองได้พบ และประสบ ตนเองไม่ได้เป็นคนเดียว ตนเองมีตัวแทนของผู้บังคับบัญชาระดับสูงในประเทศไปหลายคน และที่สำคัญตัวเอาสื่อไปด้วย
ใครจะมาบอกว่าสื่อเหล่านี้ถูกครอบงำโดยรัฐบาล ตนเองว่าเป็นการกล่าวหาเกินไป อย่างช่อง 3 ก็มั่นใจว่าคนของเขาจะมีจรรยาบรรณในการทำข่าว ไม่เหมือนกับใครหลายๆ คน ที่ถ้าไม่เหมือนกับตัวเอง ก็จะไม่รับ และมีตัวแทนอีกหลายช่องคิดว่าพอหรือไม่ที่จะไปพิสูจน์ความจริง และจะมาโวยวายว่าเบลอหน้า ผู้สื่อข่าวเขาไม่ได้เห็นตอนเบลอหน้า แต่เขาเห็นตัวจริง
ภูมิธรรม กล่าวต่อว่า เขาเหล่านั้นบอกว่า เขาผ่านชีวิตที่ยากลำบากมามากแล้ว เขากลับมาเจอพี่น้องเขา เขาอยากเลือกอนาคตเขา และอยากอยู่กับความสงบ การที่ต้องมาคุยกับเรานี้ก็มากแล้ว ท่านจะให้เขาเปิดหน้ามา และวิจารณ์ว่าเป็นตัวละครตัวเอกแบบนั้นหรอ เขาบอกไม่ต้องการแล้วจริงๆ แล้วเขาอยากอยู่กับชีวิตง่ายๆ สงบ และอยากเลือกอนาคตเอง
“ไม่ใช่อยากให้ใครหลายคนเที่ยวกำหนดอนาคตเขา คิดแทนเขา คุณไปเจอหน้าจริงๆ สิ ไม่ต้องถามผม คุณถามผู้สื่อข่าวทั้งหมดไป ถ้าคุณยังไม่เชื่ออีก ผมก็ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว ผมถึงบอกไงให้อยู่กับความจริง อยู่กับคนที่เขาไปดูเป็นคนกลาง”ภูมิธรรมกล่าว
ภูมิธรรม ยังกล่าวอีกว่า ที่เอาเครื่องลำเล็กไป เพราะตนเองไม่ต้องการไปเครื่องบินพาณิชย์ ที่ต้องไปเสียเวลาเปลี่ยนเครื่อง และมีไม่น้อยที่มาบอกว่าเรามาเล่นละครคน 40 คน ที่ไปหาทั้ง 12 คนช่วงเวลา 2 วัน ถือเป็น 30% หรือท่านจะเอาอย่างไร ต้องไปหาทั้ง 40 คนเลยหรือไม่ ท่านไปได้ ถ้าท่านไม่เชื่อตนเอง ท่านไปเจอเลย มันถึงจะเจอเลยว่าความเป็นจริงเป็นอย่างไร ตนเองไปเจอเขาสะเทือนใจที่เขาไม่ได้เจอลูกเขา เขามาจับมือตนเองแน่นมาก และมากอดขอร้อง รวมถึงร้องไห้ เขาไม่ใช่ดาราฮอลลีวูด ที่สั่งร้องไห้แล้วร้องไห้เลย เขาเจอความจริง เขาเจอสิ่งสะเทือนที่พวกคุณอาจไม่เคยเจอ
“อยู่กับความเป็นจริงเถอะครับ ช่วยเหลือการแก้ไขปัญหาของประเทศ สิ่งที่ท่านทำจะโดยรู้เท่าถึงการณ์ หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ก็แล้วแต่ ท่านรู้หรือไม่ มันทำร้ายประเทศ สิ่งที่ท่านพูดมาทุกอย่าง ล้วนแต่ทำให้ประเทศ ไม่เกิดความเชื่อมั่น สิ่งที่ท่านพูดมาไม่ได้ทำให้ประเทศไทยดีขึ้น สิ่งที่ผมทำ ผมพยายาม ดีไม่ดี ก็ไปประเมินกัน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ผมจะพูด และแจ้งให้ประชาชนทราบ” ภูมิธรรม ย้ำ
ภูมิธรรม ระบุอีกว่า ความห่วงใยที่มีต่อรัฐบาลยังไม่จบ ตนเองไปครั้งนี้ เพื่อจะได้เห็นความจริง และไม่ต้องจินตนาการที่มาพูดโดยไม่มีข้อเท็จจริงรองรับ และอีก 1 – 2 เดือน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะไปดู ถ้าเขาจัดฉากได้ตลอดก็ดี ก็ลองไปดูว่าจะเป็นอย่างนั้นได้หรือไม่ และยังมีเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงปักกิ่งไปดูเป็นระยะ
“พอใจหรือยังครับ หรือจะต้องตั้งคำถามเพื่อให้ประเทศเสียหายมากไปกว่านี้ อยากให้ท่านคิดอยากให้ท่านดู ผมว่ารัฐบาลได้พยายามพิจารณามา อย่างเต็มที่แล้ว พยามแก้ไขปัญหาอย่างเต็มที่” ภูมิธรรมกล่าว ย้ำ
ภูมิธรรม ยังกล่าวอีกว่า คุณรู้หรือไม่ว่าชาวอุยกูร์เขานับถือมุสลิมแบบไหน ตนเองไปไม่เคยเห็นเค้าใส่ฮิญาบ ไม่เจอเลย คนที่เขารู้เรื่องของชาวอุยกูร์มากพอ เขาบอกว่าเขาบอกให้เอาบุญว่า สตรีชาวอุยกูร์ สามารถเดินคล้องแขนโอบกอดกับผู้ชายได้ เพราะเขาเป็นมุสลิมสายปฏิรูป ที่ไม่เคร่งครัดในหลักศาสนา ชาวอุยกูร์นับถือศาสนาอิสลามนิกายซุนนีแบบเดียวกับตุรกี จึงไม่เหมือนกับมุสลิมอีกหลายส่วนซึ่งก็เป็นสิทธิ์ของแต่ละฝ่าย
“เมื่อรัฐบาลกำลังทำความจริงให้ปรากฏต่อชาวโลก ไปพบทำไมไม่ตั้งใจ แล้วใช้สติฟัง และพิจารณา เพราะสิ่งที่ท่านตั้งคำถามมันขัดแย้งกับชาวโลก ผมว่าสิ่งที่รัฐบาลนี้ได้ทำ ผมภูมิใจนะครับกับสิ่งที่ผมเป็นรองนายกรัฐมนตรีที่นายกฯ มอบหมายเรื่องความมั่นคง และผมก็กล้าตัดสินใจแก้ปัญหาทั้งภายในประเทศ และปัญหามนุษยธรรมจริงๆ ไม่ใช่มนุษยธรรมจอมปลอม ให้เขาไปมีอิสระ ผมอยากให้ท่านไปกับผม แล้วไปเห็นจริงๆ ว่าเวลาที่เขาอยู่กับพ่อแม่อายุ 70 – 80 ปีคุณรู้หรือไม่ เขาออกจากบ้านพ่อแม่ไม่รู้เลยว่าเขาไปไหน เขาหายไปอย่างเงียบๆ จนชาวบ้านนึกว่าลูกเขาตายไปแล้ว” ภูมิธรรม ย้ำ
ภูมิธรรม เล่าอีกว่า อยู่ๆ รัฐบาลจีนไป เขาคิดว่าตนเองคือคณะที่ทำให้เขากลับมาพบกับครอบครัวเขาถึงได้เห็นความรู้สึกที่เขาแสดงออก คุณไปถามนักข่าวทุกคนว่าเห็นภาพอะไร หรือว่านักข่าวตาบอดอีก ดูภาพการแสดงออกการเล่นละครไม่ออกอยากให้ท่านมีสติ
ภูมิธรรม กล่าวว่า วันนี้เราอยู่ในเวทีรัฐสภา พี่น้องประชาชนดูอยู่ ตนเองกล้าพูดอย่างนี้ทั้งหมดว่าตนเองไม่กลัวความจริง เพราะสิ่งที่ตัวเองพูดเป็นความจริงทั้งหมด ตนเองไม่อยากให้ท่านเอาจินตนาการมาแทนความจริง และเที่ยวตีโพย โวยวาย มันไม่สง่างาม ท่านประกาศตัวเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ ตนเองอยากเห็นคนรุ่นใหม่ตนเองมานี่ผิดหวังจริงๆ ตนเองก็เคยเคารพพวกท่านในฐานะที่หวังดีกับประเทศชาติ แต่ตนเองเห็นอาการที่ท่านคิดแต่เรื่องเกมที่จะเอาชนะ ท่านไม่รับฟังเหตุผลของคนอื่น ท่านคิดว่าท่านเป็นผู้ที่มีความรู้ความถูกต้องแต่เพียงผู้เดียว
“เรื่องอุยกูร์นี่ท่านพลาดครับ พลาดจริงๆ เพราะท่านไม่ยอมรับความเป็นจริง พลาดเพราะท่านไม่ใฝ่หาความเป็นจริง พลาดเพราะท่านเอาแต่จินตนาการ ไปเที่ยวชี้นิ้วด่าคนอื่น ผมอยากให้ท่านเก็บเป็นบทเรียน เราไม่ว่ากัน ผิดพลาดไปแล้ว เก็บเป็นบทเรียนเถอะ แล้วก็มาทำการเมืองที่สร้างสรรค์อย่างที่ท่านพูดประชาสัมพันธ์ โฆษณา ให้ทุกคนรับรู้ ผมอยากเห็นอย่างนั้น” ภูมิธรรม กล่าว
ภูมิธรรม กล่าวทิ้งท้ายว่า ตนเองมาเป็นรัฐบาล พวกเรามาเป็นรัฐบาลของนายกฯ แพทองธาร เราไม่กลัวการตรวจสอบ ถ้ายืนอยู่บนความเป็นจริงแล้วพูดด้วยเหตุด้วยผล จะขอบคุณ ถือว่าพวกท่านมีวิจารณญาณ มีความเป็นเป็นผู้ใหญ่ มีสติที่จะเสนอสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ