วันนี้ (24 มีนาคม) มาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ชี้แจงกลางสภาผู้แทนราษฎรในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพื่อตอบโต้ ภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ สส. เชียงใหม่ พรรคประชาชน ที่กล่าวหาว่ารัฐบาลไม่ให้ความสำคัญกับการสร้างความร่วมมือกับนานาประเทศในการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 โดยยืนยันว่ารัฐบาลโดยกระทรวงการต่างประเทศ ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ร่วมกับหน่วยงานหลักของไทย อาทิ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงกลาโหม ในการผลักดัน ยุทธศาสตร์ฟ้าใส ร่วมกับ สปป.ลาว และเมียนมา ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567
มาริษ เผยว่า ภายใต้ยุทธศาสตร์ฟ้าใส ได้มีการเปิดแผนปฏิบัติการร่วมที่กรุงเทพฯ โดยมีรัฐมนตรีจากทั้ง 3 ประเทศร่วมวางแนวทาง เช่น การจัดทำแผนที่พื้นที่เสี่ยงไฟป่า, การเปิดสายด่วน, การจัดตั้งกลไกติดตามหมอกควันข้ามแดน และในเดือนเมษายนนี้ ไทยเตรียมเป็นเจ้าภาพจัดประชุม Joint Task Force เพื่อยกระดับความร่วมมือเชิงลึกมากยิ่งขึ้น
พร้อมกันนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ยังกล่าวถึงความร่วมมือในระดับภูมิภาคอาเซียน ที่ได้มีการหารือในเวทีสำคัญ อาทิ การประชุมสุดยอดอาเซียนที่เวียงจันทน์ และการประชุม รมว.ต่างประเทศอาเซียน ที่เกาะลังกาวี ประเทศมาเลเซีย รวมถึงการจัดสัมมนาระดับภูมิภาคโดยเชิญผู้เชี่ยวชาญจากหลายประเทศ เช่น จีน สิงคโปร์ อินโดนีเซีย พร้อมด้วยองค์กรระหว่างประเทศอย่าง WHO, ธนาคารโลก, GIZ และ ADPC เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวทางในการจัดการปัญหาอย่างยั่งยืน
ในมิติทวิภาคี กระทรวงการต่างประเทศได้ร่วมกับประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ จัดโครงการไตรภาคีฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ สปป.ลาว เป็นระยะเวลา 3 ปี ตั้งแต่เดือนมกราคม 2567 เพื่อเสริมศักยภาพด้านการจัดการฝุ่นข้ามแดน นอกจากนี้ ไทยยังหารือกับกัมพูชาเมื่อวันที่ 8 มีนาคมที่ผ่านมา โดยเสนอเปิดช่องทางสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูลและความร่วมมือในการดับไฟ ล่าสุดเตรียมลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงสิ่งแวดล้อมกัมพูชา และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ ของไทย ในโอกาสนายกรัฐมนตรีไทยเยือนกัมพูชา 23-24 เมษายนนี้
มาริษ ย้ำว่า รัฐบาลไม่ได้เพิกเฉยต่อปัญหา PM2.5 แต่ได้ดำเนินการเชิงรุกทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก เพื่อผลักดันความร่วมมือแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่องตลอดปี 2567 และในระยะยาว