หลังจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศให้การแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขระหว่างประเทศ ตั้งแต่วันที่ 30 มกราคม 2563 ทำให้หุ้นที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวของไทยถูกกดดันอย่างหนักจนราคาหุ้นหลายๆ ตัวไหลลงต่อเนื่อง อย่างกลุ่มท่องเที่ยว (TOURISM) และกลุ่มขนส่ง (TRANS) ที่มูลค่าหายไปกว่า 30%
แต่ล่าสุดภาพที่เคยเกิดขึ้นดูเหมือนจะเปลี่ยนไป อย่างน้อยที่สุดก็ในมุมของ ‘ราคาหุ้น’ ซึ่งฟื้นตัวได้อย่างรุนแรง จนดัชนีกลุ่มบวกได้กว่า 10% และยังหนุนให้ดัชนี SET กระโดดขึ้นถึง 45 จุด หลังจากตลาดเปิดทำการซื้อขายในช่วงเช้า ก่อนที่จะเปิดตลาดช่วงบ่ายด้วยการบวกเพิ่มเป็น 55 จุด พร้อมมูลค่าการซื้อขายกว่า 1.14 แสนล้านบาท (ณ เวลา 15.00 น.)
ประเด็นที่น่าสนใจคือ การฟื้นตัวของหุ้นที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวในขณะนี้ เป็นลักษณะของการ ‘ตกใจซื้อ’ (Panic Buy) มากเกินไปหรือไม่?
ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ มองว่า ราคาหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวที่กระโดดขึ้นมาแรงเป็นลักษณะของ Panic Buy ในแง่ของการซื้อเพื่อปิดสถานะชอร์ต (Short Covering) หลังจากที่หุ้นกลุ่มนี้ถูกขายชอร์ตมาต่อเนื่อง ซึ่งข่าวดีที่เกิดขึ้นทำให้สถานะเหล่านี้ต้องถูกปิดไปหมด แต่ดัชนีที่ระดับ 1,330 จุด เป็นระดับที่ตึงตัวแล้วในเชิงมูลค่า ส่วนนักลงทุนที่ยังจำเป็นจะต้องถือหุ้น อาจพิจารณาเปิดสถานะชอร์ตฟิวเจอร์เพื่อป้องกันความเสี่ยง
“ตลาดในตอนนี้ดูเหมือนจะมองข้ามปัจจัยลบอื่นๆ ไปทั้งหมด อย่างการล็อกดาวน์ในต่างประเทศที่ยังมีอยู่ หากมีปัจจัยลบเกิดขึ้น ตลาดก็อาจปรับลงได้ทันที ฉะนั้นนักลงทุนที่ถือหุ้นมาก่อนหน้านี้อาจพิจารณาขายอย่างมีนัย โดยจะถือเงินสด 100% ก็ไม่เสียหาย หากมองในระยะ 1-2 เดือนข้างหน้า เพราะดัชนีหุ้นที่ระดับ 1,330 จุด สะท้อน Valuation ของปลายปี 2564 ไปแล้ว โซนที่เหมาะสมในการเข้าซื้อคือบริเวณ 1,250 จุด หรือต่ำกว่านั้น”
ทั้งนี้หากมองเฉพาะหุ้นที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว ถือว่าตอบรับกับข่าววัคซีนไป 80-90% แล้ว หากจะวิ่งขึ้นต่อได้ คงต้องเป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับไทยโดยตรงคือ การเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวแบบปกติ เพราะหากยังไปไม่ถึงจุดนั้น ผลประกอบการของหุ้นท่องเที่ยวในระยะสั้น จะยังไม่สามารถรองรับราคาหุ้นที่พุ่งขึ้นมาแน่นอน
ในมุมกลับกัน หุ้นที่ถูกเทขายหนัก ราคาจะตอบรับเชิงลบในระยะสั้น แต่วัคซีนจะไม่ได้ทำให้ผู้ป่วยลดลงอย่างฉับพลัน และตัวเลขการติดเชื้อที่ยังคงสูงขึ้น ทำให้กำไรของหุ้นเหล่านี้จะยังดีต่อไป
“หากใครต้องเก็บหุ้นจริงๆ กลุ่มที่ราคาร่วงลงมาเหล่านี้ค่อนข้างน่าสนใจ เพราะเป็นการลดลงแบบ Panic Sell”
ด้าน นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนหุ้นคุณค่า (Value Investor) มองว่า ตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวขึ้นแรง ได้ปัจจัยหนุนจากสองเรื่องสำคัญที่เปลี่ยนแปลงไป
ปัจจัยแรกคือ โจ ไบเดน ชนะเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งน่าจะเห็นการกระตุ้นเศรษฐกิจและความร่วมมือระหว่างประเทศมากขึ้น
อีกปัจจัยหนึ่งซึ่งถือได้ว่าสำคัญมากคือ พัฒนาการของวัคซีนป้องกันโควิด-19 ทำให้หุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างมาก หลังจากที่หุ้นเหล่านี้ถูกกระทบอย่างหนัก แต่เมื่อวัคซีนสำเร็จแล้ว อาจจะใช้เวลาแค่ 1-2 ปี ทำให้หุ้นท่องเที่ยวฟื้นกลับไปเท่ากับช่วงก่อนโควิด-19 ได้
“ในระยะสั้นถึงกลางหุ้นไทยน่าจะดี และเป็นไปได้ว่าจะกลับไปเท่ากับช่วงก่อนโควิด-19 แต่ถ้าจะไปไกลต่อจากนั้น ต้องดูว่าไทยจะหลุดพ้นจากการเติบโตถดถอยที่เป็นมาหลายปีได้หรือไม่ ซึ่งต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงในหลายๆ ด้าน อาทิ การปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ซึ่งอาจจะทำได้ไม่เร็วนัก หรือการเมืองที่เดินหน้าต่อได้”
ส่วนมุมมองการลงทุนส่วนตัว ปัจจุบันถือเงินสดประมาณ 10% ของพอร์ต โดยช่วงที่ผ่านมาแทบจะไม่ได้ซื้อขายปรับพอร์ตเท่าใดนัก หากเห็นว่าปัจจัยลบต่างๆ เริ่มคลี่คลายมากกว่านี้ก็อาจจะกลับเข้าซื้อ แต่คงเป็นการซื้อในระยะกลางมากกว่าจะเป็นการลงทุนระยะยาว
“แม้ว่าหุ้นไทยจะวิ่งขึ้นมาแรง แต่ยังไม่คิดว่าตัวเองจะตกรถ เพราะการฟื้นตัวตอนนี้ยังเป็นส่วนของหุ้นท่องเที่ยวเป็นหลัก ซึ่งนาทีนี้ยังต้องติดตามว่าหลังจากวัคซีนพัฒนาสำเร็จแล้วจะสามารถกระจายได้ทั่วถึงช่วงไหน ขณะเดียวกันยังมีหุ้นอีกหลายตัวที่ยังต่ำอยู่ อย่างหุ้นสถาบันการเงิน แม้ว่าวันนี้จะฟื้นตัวได้แรง แต่ราคาโดยรวมก็ยังต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด-19 อยู่มาก รวมถึงหุ้นขนาดใหญ่อีกหลายๆ ตัว ซึ่งหากจะเข้าซื้อหลังจากนี้ก็คงจะมองหาหุ้นที่ยังมีราคาต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด-19 อยู่มากกว่า 20%”
อย่างไรก็ตาม การเข้าซื้อครั้งนี้ อาจจะไม่ได้เป็นการซื้อเพื่อลงทุนระยะยาว โดยจะเป็นการลงทุนระยะกลางมากกว่า หากดัชนีหุ้นกลับไปในระดับเดียวกันกับช่วงก่อนโควิด-19 หรือในระดับใกล้จุดสูงสุดเดิม อาจจะพิจารณาขายออกมาก หากแนวโน้มอนาคตระยะยาวของไทยยังคงติดปัญหาการเติบโตต่ำเช่นเดิม
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า