6 พฤศจิกายน 2025 Nissan Motor ได้ประกาศผลประกอบการที่แสดงให้เห็นถึงสัญญาณการฟื้นตัวที่สำคัญ แม้ว่าจะเคยประสบปัญหาขาดทุนในช่วงครึ่งปีแรกก็ตาม
สำนักข่าว Reuters รายงานว่า ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2025 (กรกฎาคม-กันยายน) Nissan มีผลกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น อย่างก้าวกระโดด อยู่ที่ 51,500 ล้านเยน ซึ่งสูงกว่า 31,900 ล้านเยนในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ปัจจัยหลักมาจากการเติบโตของความต้องการในตลาดอเมริกาเหนือ และค่าเงินเยนที่อ่อนตัวลง
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลอย่างเป็นทางการจาก Nissan Motor พบว่าผลประกอบการในช่วงครึ่งแรกของปีงบประมาณ 2025 (สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน) บริษัทยังคงประสบภาวะขาดทุน โดยมีผลขาดทุนจากการดำเนินงาน 27,700 ล้านเยน และขาดทุนสุทธิ 221,900 ล้านเยน
อีวาน เอสปิโนซา ซีอีโอของ Nissan Motor
อีวาน เอสปิโนซา ซีอีโอของ Nissan Motor กล่าวถึงผลประกอบการล่าสุดว่า
“ผลประกอบการครึ่งปีแรกสะท้อนความท้าทายที่เราเผชิญ แต่ก็เป็นข้อพิสูจน์ว่า Nissan กำลังฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง ผมมั่นใจว่าด้วยความมุ่งมั่น การมีวินัย และแผนงานที่ชัดเจน เราจะสามารถสร้างผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้นได้ในครึ่งปีหลัง แม้จะต้องเจอความท้าทายใหม่ๆ ก็ตาม
ภายใต้แผน Re:Nissan เรากำลังสร้างสมดุลระหว่างการมองโลกในแง่ดีกับการบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบ พร้อมเร่งขับเคลื่อนองค์กรสู่อนาคต โดยเน้นผลิตภัณฑ์ใหม่ ตลาดหลัก และเทคโนโลยีล้ำสมัย ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดบทต่อไปของ Nissan”
ขายตึกสำนักงานใหญ่ภายใต้แผน Re:Nissan
ในวันเดียวกัน Bloomberg รายงานข่าวสำคัญเพิ่มเติมว่า Nissan ตกลงขายอาคารสำนักงานใหญ่ เมืองโยโกฮามะ ให้กับ Minth Group ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์สัญชาติไต้หวัน ด้วยมูลค่า 630 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 97,000 ล้านเยน)
การขายสินทรัพย์ครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนฟื้นฟู ‘Re:Nissan’ ซึ่งทาง Nissan ยืนยันว่าเป็นการ “เพิ่มประสิทธิภาพสินทรัพย์ที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก” โดยข้อตกลงนี้เป็นแบบขายและเช่ากลับซึ่งหมายความว่า Nissan จะยังคงใช้อาคารดังกล่าวเป็นสำนักงานใหญ่ต่อไป
Nissan Motor Co., Ltd. Global Headquarters Yokohama, Japan.
แม้ครึ่งปีแรกต้องเผชิญความท้าทาย แต่ Nissan ยังคงเชื่อมั่นในแผนฟื้นฟู Re:Nissan โดยคาดว่าผลประกอบการครึ่งปีหลังจะแข็งแกร่งขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้กำไรจากการดำเนินงานตลอดปีงบประมาณ 2025 กลับมา ‘คุ้มทุน’ (Breakeven) โดยไม่รวมผลกระทบจากภาษีศุลกากร
ภาพ: Global Nissan News
อ้างอิง:
