และแล้วช่วงจังหวะเวลาที่ ‘เหมาะสม’ ก็เวียนมาถึง โดยเฉพาะในวันที่นวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้ากลายเป็นที่ต้องการของตลาดประเทศไทยแบบสุดขีด เมื่อเราได้มีโอกาสทดลองขับรถยนต์ ‘NISSAN KICKS e-POWER’ คอมแพค เอสยูวีสุดล้ำจาก NISSAN ที่มาพร้อมกับฟีลลิงการขับขี่ในแบบรถยนต์ไฟฟ้า
ก่อนอื่นเรามาทบทวนกันแบบสั้นๆ ก่อนว่า NISSAN KICKS e-POWER เป็นรถยนต์ขนาดคอมแพค เอสยูวี ด้วยเทคโนโลยีเฉพาะตัว ซึ่งในที่นี้ NISSAN จะเรียกรวมนวัตกรรมของตัวเองว่าเป็น ‘e-POWER’ ประสบการณ์ในการขับขี่เหมือนรถยนต์ไฟฟ้า แต่ไม่ต้องติดตั้งหรือหาสถานีชาร์จไฟ
อธิบายแบบง่ายๆ ในเชิงหลักการทำงานของเทคโนโลยี e-POWER ตัวรถ NISSAN KICKS จะขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเพียวๆ แต่อาศัยน้ำมันมาเป็นตัวปั่นไฟ เพื่อผลิต ‘กระแสไฟฟ้า’ แล้วส่งต่อไปยังมอเตอร์และแบตเตอรี่ที่ใช้ในการขับเคลื่อนรถ
ข้อดีก็คือ เราไม่จำเป็นต้องไปเสียบปลั๊กชาร์จแบตเตอรี่ให้กับตัวรถ รอคอยเวลาให้แบตเตอรี่ชาร์จเต็มก่อน หรือนั่งกังวลว่าแบตเตอรี่รถจะไปหมดกลางทางเพราะมีระยะทางการขับที่จำกัด เนื่องจากตัวรถจะใช้น้ำมันเพียงอย่างเดียวในการเป็นเชื้อเพลิงปั่นไฟ แต่เราจะยังคงได้ประสบการณ์และความรู้สึกของการขับขี่รถยนต์ไฟฟ้าเหมือนเดิมทุกประการ
แล้วพอมาลองใช้งานจริงๆ ความรู้สึกที่มีต่อการใช้งานตัวรถ KICKS e-POWER ของเราจะเป็นอย่างไร ประทับใจ ชอบหรือไม่ชอบอะไร เรารวบรวมความเห็นทั้งหมดที่มีตลอดระยะเวลา 4 วันของการทดลองใช้มาไว้ให้แล้ว
KICKS e-POWER ให้ประสบการณ์แบบเดียวกับ ‘รถยนต์ไฟฟ้า’ ทุกประการ ขับสนุก ตอบสนองไว
KICKS e-POWER ที่เรานำมาลองขับนั้นเป็นโมเดลรุ่นท็อป (VL) สีเหลือง ซันไลท์ (Sunlight Yellow มีเฉพาะรุ่นรองท็อป V และรุ่นท็อป VL เท่านั้น) สนนราคาจำหน่ายอยู่ที่ 1,049,000 บาท มีจุดต่างๆ จากรุ่นอื่นอยู่ที่เทคโนโลยีและของที่ NISSAN ใส่มาให้ก็เช่น
- หน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว และระบบข้อมูลความบันเทิง NissanConnect พร้อมช่องเสียบ AUX, ระบบการเชื่อมต่อ Bluetooth และรองรับ Apple CarPlay
- เทคโนโลยีกล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง (Intelligent Around View Monitor: IAVM)
- เทคโนโลยีช่วยเตือนก่อนการชนด้านหน้าอัจฉริยะ (Intelligent Forward Collision Warning: IFCW)
- เทคโนโลยีเบรกฉุกเฉินอัจฉริยะ (Intelligent Emergency Braking: IEB)
- เทคโนโลยีกระจกมองหลังอัจฉริยะ (Intelligent Rear View Mirror: IRVM)
- เทคโนโลยีตรวจจับวัตถุด้านหลังรถขณะถอย (Rear Cross Traffic Alert: RCTA)
- เทคโนโลยีเตือนจุดอับสายตา (Blind Spot Warning: BSW)
- ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.nissan.co.th/vehicles/new-vehicles/kicks/nissan-intelligent-mobility.html
ความประทับใจแรกที่เรามีให้กับ KICKS e-POWER คือรูปโฉมดีไซน์ของตัวรถที่ค่อนข้างหวือหวา โฉบเฉี่ยว และทันสมัยมากๆ แม้จะเป็นคอมแพค เอสยูวี แต่ก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกของความเทอะทะเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะสีซันไลต์ที่ทำให้ตัวรถเปรี้ยว เฉี่ยว สะกดทุกสายตาบนท้องถนนให้หันมาเหลียวมองได้แบบอยู่หมัด (โดนมาแล้วด้วยตัวเอง 😂)
จอดิจิทัล TFT ขนาด 7 นิ้วแสดงผลต่างๆ บริเวณหน้าปัด และจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว และระบบข้อมูลความบันเทิง Infotainment ที่คมชัดละเอียดสุดๆ
ภายในห้องโดยสารเป็นแบบสองตอน 5 ที่นั่ง เบาะผู้โดยสารและคนขับแถวหน้ามีจอดิจิทัล TFT ขนาด 7 นิ้วแสดงผลต่างๆ (เลือกได้เอง) ซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการมองเห็นรายละเอียดต่างๆ และการปรับโหมดการใช้งานเพื่อเสพคอนเทนต์ความบันเทิงขั้นสุด
เพราะขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ 100% เกียร์ของ NISSAN KICKS e-POWER จะเป็นเกียร์ไฟฟ้า Shift by Wire แบบจอยสติกแบบเดียวกับ Nissan LEAF, ระบบเบรกมือไฟฟ้า E-Parking Brake จอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว และระบบข้อมูลความบันเทิง NissanConnect พร้อมช่องเสียบ AUX รองรับ Bluetooth และ Apple CarPlay ตัวกระจกมองหลังสามารถปรับจากกระจกลดแสงสะท้อนธรรมดาๆ เป็นภาพจากกล้องบริเวณหลังรถเพื่อเพิ่มวิสัยทัศน์ที่กว้างมากขึ้นในการขับขี่หรือการถอยรถ (Intelligent Rear View Mirror: IRVM) ฯลฯ
กระจกหน้ารถค่อนข้างกว้างจึงให้ความรู้สึกโปร่งโล่ง ทัศนวิสัยในการมองเห็นกว้างขวาง ชัดเจน ไม่อึดอัดหรือตีบตัน บริเวณแผงประตูมี Ambient Light ที่เราสามารถเลือกปรับแต่งสูงสุดได้ถึง 7 สี ส้ม, แดง, น้ำเงิน, เหลือง, เขียว, ชมพู และขาว (แสดงผลบริเวณแผงข้างประตู รอบลำโพง และไฟ Welcome Light คำว่า ‘KICKS’ บนพื้นเวลาเปิดประตูตัวรถ) เพื่อปรับแต่งสภาพแวดล้อมตามบรรยากาศของการใช้งานและความชื่นชอบ ช่วยเพิ่มความสนุก ไม่ซ้ำ จำเจ
ไฟหน้า LED พร้อมไฟตัดหมอก LED และล้อแม็กซ์อัลลอยขนาด 17 นิ้ว
ไฟหน้า KICKS e-POWER เป็นแบบ LED พร้อมไฟตัดหมอก LED และล้อแม็กซ์อัลลอยขนาด 17 นิ้ว ซึ่งเป็นดีไซน์ภายนอกที่เพิ่มความโฉบเฉี่ยว หวือหวา ดูไม่เชยให้กับตัวรถมากขึ้นอีกเป็นกอง
ห้องโดยสารแถวหลังกว้างขวาง ปรับแบบปกติ (ไม่ได้เลื่อนเบาะหน้าขึ้น) ขาไม่ติดเบาะหน้า (แบบสูง 180 ซม.)
เบาะแถวหลังเป็นแบบปรับพับได้ 60:40 เพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระเชื่อมมายังห้องโดยสาร (ไม่มีแอร์แถวหลังให้ปรับ แต่มีช่องเสียบ USB จำนวนสองช่อง) ส่วนบริเวณพื้นที่เก็บสัมภาระท้ายรถค่อนข้างกว้างขวางมากๆ โดยในรุ่นท็อป VL ยังมาพร้อมกับแผงกั้นสัมภาระท้ายรถ เพื่อเพิ่มความเป็นระเบียบและความเป็นส่วนตัวเวลาเราไปจอดรถตามสถานที่ต่างๆ
ตัวรถจะมีโหมดให้ปรับถึง 4 โหมดการขับขี่ คือ Normal การขับขี่ปกติ, S Mode เน้นสมรรถนะในการขับขี่แบบสูงสุด, Eco Mode ระบบขับขี่แบบประหยัดพลังงาน เน้นออกตัวแบบสมูท ไม่กระชาก และสุดท้ายคือ EV Mode ที่ใช้พลังไฟฟ้าจากแบตเตอรี่แบบเพียวๆ (โดยมากจะขับได้ประมาณ 5 กม. หรือหากใช้รอบต่ำ เท้าไม่หนัก ก็มีลุ้นขับได้ยาวๆ ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและปัจจัยอื่นๆ ด้วย)
ในเชิงการใช้งานจริง หลังจากที่ได้มีโอกาสลองขับ KICKS e-POWER แล้ว ก็ต้องยอมรับว่า เจ้าคอมแพค เอสยูวีคันนี้ ‘พาเราไปไกล’ กว่าความคาดหมายในตอนต้นอยู่พอสมควร โดยในเชิงของการขับเคลื่อนนั้น ตัวรถตอบสนองการเหยียบคันเร่งได้ดีมากๆ (แบบเดียวกับในรถยนต์ไฟฟ้า 100% เลย) เหยียบแล้วพุ่งทันที โดยให้อัตราเร่งจาก 0-100 กม. ที่เฉลี่ย 9 วินาทีกว่าๆ (บวกลบเล็กน้อย ไม่หนีไปจากนี้มาก)
ตัวอย่าง Welcome Light สีแดง และ Ambient Light สีเขียวที่สามารถเลือกปรับได้สูงสุด 7 สีตามความชอบและบรรยากาศ
ตัว ‘One-Pedal’ หรือเทคโนโลยีคันเร่งอัจฉริยะที่มีเฉพาะในรถยนต์ไฟฟ้า มีรูปแบบการทำงานที่เป็นทั้งแป้นเบรกและคันเร่งในแป้นเดียว เมื่อกดน้ำหนักเหยียบคันเร่ง แป้นคันเร่งก็จะทำงานปกติ แต่เมื่อค่อยๆ ผ่อนน้ำหนักเท้าออกจากตัวคันเร่ง ตัวรถก็จะค่อยๆ ชะลอตัวจนเบรกหยุดในที่สุด (ถ้าถอนเท้าขึ้นทันทีก็จะมีค่าเทียบเท่าการกระแทกแป้นเหยียบเบรกแบบสุดตัว) ซึ่งเจ้า One-Pedal จะทำงานคู่กับระบบการขับเคลื่อนเฉพาะแบบ S Mode, Eco Mode และ EV Mode
สำหรับผู้ที่ไม่เคยใช้เทคโนโลยี One-Pedal อย่าเพิ่งกังวลไปก่อนว่ามันจะใช้ยากหรือน่ากลัว เพราะในมุมของคนที่มีโอกาสลองใช้มาแล้วจะบอกว่า ใช้เวลาไม่นานคุณก็จะปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีได้อย่างไม่เคอะเขิน แถมมันยังสะดวกสบายมากๆ สำหรับคนที่ต้องขับทางไกลๆ แล้วเมื่อยเท้า ไม่อยากกดเบรกสลับคันเร่งไปมาๆ ให้มากความ
จุดเด่นคือ ‘เงียบ’ ดีต่อใจมาก ประหยัดน้ำมัน และมีอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงในระดับที่น่าพึงพอใจ
ข้อดีมากๆ ที่เราพบจาก KICKS e-POWER นอกเหนือจากเทคโนโลยีที่ให้ประสบการณ์การขับแบบเดียวกับรถยนต์ไฟฟ้าและอัตราเร่งที่ดีเหมือนรถยนต์ไฟฟ้าแล้ว ก็ต้องยกให้ ‘ความเงียบ’ ของตัวรถ ทั้งตัวเครื่องยนต์ของ KICKS e-POWER ที่เงียบมากๆ (บางครั้งจะได้ยินเพียงเสียงจี่ๆ สังเคราะห์ของตัวมอเตอร์ เพื่อช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับคนเดินทางเท้า)
ส่วนในห้องโดยสารเองก็เงียบสุดๆ ไม่ต่างกัน แทบจะไม่มีเสียงจากนอกตัวรถ เสียงลมแทรกเข้ามาเลย ซึ่งในมุมของคนขับอย่างเราที่จะเป็นโรคจิตทุกครั้งเวลาได้ยินเสียงรบกวนใดๆ ก็ตามที่ดังขึ้นในรถ แต่ KICKS e-POWER สามารถแก้ปัญหากวนใจเหล่านั้นของเราได้แบบปลิดทิ้ง ไม่มีเสียงกวนใจใดๆ เลย
กระจกกมองหลังที่ปรับมาใช้โหมดกล้องหลัง Intelligent Rear View Mirror (IRVM) ได้
เหมาะมากๆ สำหรับการใช้ดูตอนถอยจอดในจุดที่เป็นมุมอับ หรือเหนือทัศนวิสัย
โดยระดับเสียงที่ทาง NISSAN เคลมเอาไว้ว่าเป็นระดับเสียงที่เกิดขึ้นจากเจ้า KICKS e-POWER จะอยู่ที่ 21 เดซิเบลโดยเฉลี่ย เทียบเท่ากับ NISSAN LEAF ที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้าแบบ 100% และน้อยกว่ารถยนต์เบนซินทั่วไปที่มีอัตราเสียงเฉลี่ยถึงกว่า 3 เท่าตัว
เพราะฉะนั้นเวลาที่เราต้องขับรถออกจากบ้านตอนเช้าๆ หรือกลับมาบ้านตอนดึกๆ ระดับเสียงที่เกิดขึ้นจาก NISSAN KICKS e-POWER ก็แทบจะไม่สร้างความรบกวนใดๆ ให้กับพ่อแม่หรือเพื่อนบ้านเราด้วยซ้ำ
ในแง่ของอัตราการเผาผลาญเชื้อเพลิงก็ทำได้น่าประทับใจเช่นกัน โดย NISSAN เคลมอัตราการประหยัดน้ำมันไว้ที่ 23.8 กม. ต่อลิตร (NEDC) โดยที่น้ำมันเต็มถัง 41 ลิตรนั้นสามารถวิ่งได้ไกลสูงสุดถึงเกือบ 900 กม. เลยทีเดียว (ขึ้นอยู่กับปัจจัยแวดล้อมและพฤติกรรมการขับขี่ของตัวผู้ขับ)
และเมื่อเราลองนำมาใช้งานจริงในตัวเมืองกรุงเทพฯ (การจราจรส่วนใหญ่ในวันที่ใช้งานค่อนข้างหนาแน่น รถติด) โดยเน้นใช้ในโหมด Eco เป็นหลัก (มีเหยียบเร่งแซงอยู่บ่อยๆ ออกตัวแรงอยู่เป็นประจำ) พบว่าอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงอยู่ที่ราว 15.67 กม. ต่อลิตร แต่ถ้าขับระยะทางไกลๆ การจราจรปลอดโปร่งในเส้นทางถนนต่างจังหวัด ออกตัวสมูท และไม่เท้าหนักเน้นเหยียบคันเร่งบ่อยๆ เหมือนผู้ขับก็น่าจะช่วยให้อัตราการสิ้นเปลืองที่ประหยัดขึ้นกว่าแน่นอน แต่โดยรวมถือว่าค่อนข้างน่าพึงพอใจมากๆ
ทางเลือกสำหรับคนอยากขับรถยนต์ไฟฟ้า แต่กังวลใจเรื่องจุดชาร์จแบตเตอรี่หมดกลางทาง
โดยสรุปแล้ว เรายกให้ NISSAN KICKS e-POWER เป็นคอมแพค เอสยูวี ที่ให้ประสบการณ์ขับแบบรถยนต์ไฟฟ้าที่ดีมากๆ คันหนึ่ง ไม่ว่าจะด้วยตัวรถเองที่ให้ความรู้สึกกว้าง ปลอดโปร่ง ไม่อึดอัด เทคโนโลยี e-POWER ที่ประหยัดเชื้อเพลิง และให้ความรู้สึกแทบไม่ต่างจากการขับรถยนต์ไฟฟ้าจริงๆ
ไฟกระพริบแจ้งเตือนระบบ Blind Spot Warning (BSW)
ช่วยเตือนด้วยเสียงและไฟเวลาเลี้ยวเปลี่ยนเลนในจุดอับสายตา
(มองเห็นได้ด้วยหางตา ไม่จำเป็นต้องเอี้ยวไปทั้งหน้า)
กล้องพร้อมระบบกล้องอัจฉริยะรอบทิศทาง Intelligent Around View Monitor (IAVM)
นอกจากนี้อีกเทคโนโลยีที่ได้ใช้บ่อยๆ คือ Intelligent Around View Monitor (IAVM) เทคโนโลยีกล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง ที่จะทำงานจากการประมวลผลจากภาพของกล้อง 4 ตัวที่ติดอยู่รอบคัน แล้วนำแสดงผลเป็นภาพมุมสูงบนจอวิทยุเพื่อช่วยให้เห็นภาพรอบทิศทางของตัวรถในขณะถอยจอด ช่วยเพิ่มความสะดวก ความปลอดภัย (แบบเดียวกับเทคโนโลยีที่ใช้ใน LEAF เลย) เรียกว่าสบายและอำนวยความสะดวกกันแบบขั้นสุดสำหรับคนที่ไม่คุ้นชินกับการถอยจอดในท่าพิสดาร หรือสภาพแวดล้อมหรือบริเวณโดยรอบค่อนข้างคับแคบ มีข้อจำกัด
สรุปง่ายๆ ก็คือ e-POWER เป็นการตอบเพนพอยต์ของคนที่อยากขับรถยนต์ไฟฟ้า แต่ยังติดเรื่องราคา ความกังวลใจเรื่องสถานีชาร์จว่าจะครอบคลุมในถนนทุกๆ เส้นที่เดินทางไปหรือเปล่า และยังไม่แน่ใจว่าตัวเองจะรอไหวไหมกับการต้องนำรถไปชาร์จทิ้งไว้ในเวลานานๆ และต้องใช้รถในเวลาเร่งด่วน
ซึ่งทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ KICKS e-POWER สามารถคลายทุกความกังวลใจของคนที่คิดหรือลังเลจะเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้าได้แบบทุกข้อ ด้วยราคาเริ่มต้นที่ 889,000 บาท แลกกับการที่คุณจะได้เป็นเจ้าของยานยนต์ที่ล้ำสมัย มีดีไซน์โดดเด่น พร้อมด้วยเทคโนโลยีแบบยานยนต์ไฟฟ้าที่ทำให้คุณสะดวกสบายในทุกๆ การเดินทาง
โดยรวมแล้วหากคุณกำลังมองหารถที่ให้ฟีลลิงของการขับรถยนต์ไฟฟ้าสักคัน มีรูปโฉมที่โดดเด่น ทันสมัย NISSAN KICKS e-POWER คือหนึ่งในคำตอบที่เราเชื่อว่าน่าจะเหมาะกับคุณสุดๆ ในช่วงเวลานี้
พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล
ภาพประกอบ: พรวลี จ้วงพุฒซา