“พีชจ๋า พีชจ๋า พีชจ๋าาาา!” ‘Peaches’ เพลงประกอบภาพยนตร์ The Super Mario Bros. Movie กำลังเป็นหนึ่งในเพลงที่ติดหูและติดปากของลูกเด็กเล็กแดงจำนวนไม่น้อย ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งในความสำเร็จของภาพยนตร์แอนิเมชันที่นำตัวละครอันโด่งดัง และเป็นที่รักของผู้คนตลอด 40 ปีที่ผ่านมา กลับมาวาดลวดลายบนจอเงินอีกครั้ง
ความสำเร็จนั้นเกิดจากการที่ภาพยนตร์เวอร์ชันปี 2023 Nintendo ได้ร่วมมือกับ Illumination ค่ายหนังแอนิเมชันชื่อดังที่มีผลงานยอดฮิตมากมายรวมถึง Minions สรรค์สร้างนำตัวละครจากเกมที่ทุกคนรู้จักมาเล่าเรื่องราวได้อย่างสนุกสนาน และที่สำคัญคือ เรื่องที่เล่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องอย่างที่ควรจะเป็น ไม่เหมือนในภาพยนตร์เวอร์ชันปี 1993 ที่ Nintendo ขายลิขสิทธิ์ให้สตูดิโอในฮอลลีวูดสร้างและออกมาเลวร้ายอย่างมาก
เบื้องหลังแนวคิดนี้เกิดจากการที่ Nintendo เริ่มมองเห็นศักยภาพของตัวละครในวิดีโอเกมที่พวกเขาสร้างตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา และบางทีแทนที่จะปล่อยให้คนอื่นเอาตัวละครอันเป็นที่รักของพวกเขา (และของแฟนๆ) ไปปู้ยี่ปู้ยำ สิ่งที่พวกเขาควรทำมากกว่าคือการดูแลตัวละครของพวกเขาเองในแบบเดียวกับโมเดลลิ่ง หรือ ‘Talent Agent’
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- The Super Mario Bros. Movie เปิดตัวทำรายได้ 5,000 ล้านบาท ทุบสถิติสูงสุดแซงหน้า Ant-Man พลิกฟื้นอุตสาหกรรมภาพยนตร์โต!
- Chris Pratt, Anya Taylor-Joy, Jack Black จะพาทุกคนออกผจญภัยในโลกของเกมใน The Super Mario Bros. Movie
- เมื่อผู้คนใช้เวลา เล่นเกม น้อยลงและมีเวลาออกไปข้างนอกมากขึ้น ‘ยักษ์ใหญ่วิดีโอเกม’ ต่างเห็นรายได้ที่ลดลงกันถ้วนหน้า
“หนังทุกเรื่องหรืองานอะไรก็ตาม (ที่เกี่ยวกับ Super Mario) จะต้องอยู่ในการควบคุมของ Nintendo เพื่อให้มันออกมาดี (เป็นที่พึงพอใจของแฟนๆ) ชิเงรุ มิยาโมโตะ ผู้สร้างตัวละครช่างประปามีหนวดใส่ชุดเอี๊ยมสีน้ำเงินและหมวกสีแดงให้กลายเป็นที่รักของแฟนๆ หลายล้านคนกล่าว
“หนังเรื่องนี้นำเสนอตัวละครของ Nintendo และผลตอบรับออกมาดีมาก”
มิยาโมโตะไม่ได้อยากให้ The Super Mario Bros. Movie เป็นภาพยนตร์ที่ทำออกมาเป็นแฟนเซอร์วิสเอาใจแฟนรุ่นเก่าเท่านั้น หากแต่ยังต้องการให้น้องๆ หนูๆ รุ่นใหม่ได้สนุกไปกับภาพยนตร์เรื่องนี้ไปด้วย แม้ว่าจะไม่เคยเล่นเกมมาริโอภาคไหนเลยก็ตาม โดยจะเน้นนำเสนอด้วยเรื่องราวที่เข้าใจง่าย ฉากที่สนุกสนาน การหยิบสิ่งละอันพันละน้อยจากวิดีโอเกมมาใช้ ตั้งแต่การจำลองให้เห็นชีวิตของตัวละครเมื่อต้องพยายามผ่านด่านในเกม ไปจนถึงกิมมิกอย่าง รถ ‘Kart’ ซึ่งมีโอกาสจะทำรายได้มหาศาลในตลาดของเล่น
สิ่งนี้นำไปสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่เมื่อหนังเปิดตัวในวันที่ 5 เมษายน ด้วยยอดรายได้ทั่วโลกถึง 378 ล้านดอลลาร์ หรือราว 1.29 หมื่นล้านบาทในช่วง 5 วันแรก แซงหน้า Frozen 2 ในปี 2019 ที่เคยทำไว้ 358.4 ล้านดอลลาร์หรือราว 1.22 หมื่นล้านบาท และเมื่อวันที่ 17 เมษายนที่ผ่านมา ทำรายได้ทะลุ 700 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 2.39 หมื่นล้านบาท โดยในญี่ปุ่นบ้านเกิดของมาริโอเองเพิ่งจะฉายไปเมื่อวันที่ 28 เมษายน
“Nintendo เป็นเหมือนเอเจนต์นักแสดง และเรามีนักแสดงมากมายอยู่กับเรา” มิยาโมโตะบอก แต่ไม่ยอมเผยไต๋ถึงแนวทางในอนาคต แค่บอกว่า “มีตัวละครที่เหมาะกับวิดีโอคอนเทนต์บางอย่าง หรือตัวละครที่มีชื่อเสียง ซึ่งเรามีตัวเลือกมากมายที่จะใช้ได้”
เมื่อปี 2021 Nintendo เพิ่งจะสร้าง Super Mario World ในสวนสนุก Universal Studios Japan ที่เมืองโอซาก้า และเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาที่ลอสแอนเจลิส ซึ่งเป็นการจำลองโลกของพี่น้อง Mario & Luigi, เจ้าหญิง Peaches, พี่เห็ด Toad ไปจนถึงราชาเต่าอย่าง Bowser เป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ที่แท้จริงให้แก่ทุกคน
แนวทางนี้เป็นแนวทางใหม่สำหรับ Nintendo ที่แม้หัวใจหลักคือการสร้างเกมและเครื่องเล่นวิดีโอเกม แต่จากการที่ยอดจำหน่ายของเครื่อง Nintendo Switch เริ่มตกลงหลังเข้าสู่ปีที่ 7 กลยุทธ์นี้จะทำให้บริษัทแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
“แบรนด์ของ Nintendo นั้นคาดว่าจะเติบโตในระยะยาว” ฮิเดกิ ยาสุดะ นักวิเคราะห์จาก Toyo Securities กล่าว
และที่สำคัญ หนึ่งในความฝันชั่วชีวิตของมิยาโมโตะคือการทำให้ Super Mario สามารถยืนหยัดเคียงบ่าเคียงไหล่กับตัวละครอันดับหนึ่งตลอดกาลของโลกอย่าง Mickey Mouse ของ Disney ให้ได้ ซึ่งความสำเร็จของภาพยนตร์นี้ถือเป็นการทำให้ความฝันขยับเข้าใกล้ความจริงเข้าไปอีกนิด
เก็บเห็ด เก็บดอกไม้ไฟแล้ว ต่อไปก็เหลือเก็บดาว กระโดดรูดเสาธงนะมาริโอ!
ภาพ: Budrul Chukrut / SOPA Images / LightRocket via Getty Images
อ้างอิง: