×

สรุปวิกฤตสาธารณสุข ก่อน กมธ.สธ. แถลงข่าว 10 โมงวันนี้ ปม สปสช. ค้างจ่ายโรงพยาบาล

โดย THE STANDARD TEAM
21.10.2025
  • LOADING...
สรุปวิกฤตสาธารณสุข ก่อน กมธ.สธ. แถลงข่าว 10 โมงวันนี้ ปม สปสช. ค้างจ่ายโรงพยาบาล

ปัญหาการค้างจ่ายค่ารักษาพยาบาลจาก สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ให้แก่โรงพยาบาลทั่วประเทศ ได้กลายเป็นประเด็นร้อนที่สั่นคลอนระบบสาธารณสุขไทยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา

 

โดยเฉพาะกรณีของ พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ ที่ออกโรงเรียกร้องให้ สปสช. ชำระหนี้จำนวนกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งล่าสุดเหลือ 80 กว่าล้านบาท วิกฤตการเงินนี้ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการบริหารจัดการของโรงพยาบาลเท่านั้น แต่ยังเริ่มส่งสัญญาณอันตรายถึงสิทธิการรักษาพยาบาลของประชาชนผู้ใช้สิทธิ์หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าอีกด้วย

 

ไทม์ไลน์ความเดือดร้อน: จาก รพ. มงกุฎวัฒนะ สู่ปัญหาทั่วประเทศ

 

ปัญหาการค้างจ่ายและวิธีการคำนวณงบประมาณของ สปสช. ได้ถูกจุดประเด็นอย่างรุนแรง เมื่อมีเสียงเรียกร้องจากผู้บริหารโรงพยาบาล โดยเฉพาะ พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ ให้ สปสช. ชำระหนี้สินค่ารักษาพยาบาลที่ค้างจ่ายอยู่เป็นจำนวนมาก เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นถึงความตึงเครียดทางการเงินที่โรงพยาบาลต้องแบกรับ

 

ปัญหาดังกล่าวขยายวงกว้างขึ้นเมื่อ นพ.วีระพันธ์ สุวรรณนามัย รองประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลผ่านโซเชียลมีเดียเมื่อช่วงเช้า วันที่ 20 ตุลาคม 2568 ว่า สปสช. คือ ‘คนกลางจ่ายเงิน’ ที่รับงบประมาณมาเพื่อซื้อบริการจากโรงพยาบาล แต่กลับมีปัญหา ไม่จ่ายเงินตรงตามที่ตกลงและจ่ายล่าช้า

 

การปรับวิธีการคำนวณจ่ายเงินแบบย้อนหลัง เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่ นพ.วีระพันธ์ ได้ยกตัวอย่าง การจ่ายค่าผู้ป่วยใน (IP) ที่เดิมกำหนดจ่ายที่ 80 บาทต่อหน่วย (AdjRW.) จากต้นทุนจริง 130 บาท ทำให้โรงพยาบาลต้องควักเงินบำรุงมาจ่ายแทน 50 บาท

 

และที่ทำให้ค่าใช้จ่ายของโรงพยาบาลวิกฤตไปอีก คือ เมื่อถึงปลายปีงบประมาณ สปสช. ได้ออกประกาศลดเงินที่เคยจ่ายไปแล้ว 10 เดือน จาก 80 บาท เหลือ 70 บาท และ เรียกเงินส่วนต่าง 10 บาท/เดือน คืนย้อนหลัง จากยอดที่กำลังจะจ่ายใน 2 เดือนสุดท้าย ทำให้โรงพยาบาลกลายเป็น ‘ลูกหนี้’ ของ สปสช.

 

รวมถึงการสุ่มตรวจเวชระเบียนที่เข้มงวด มีการหักแต้มและเรียกเงินคืน หากแพทย์เขียนเวชระเบียนไม่ครบถ้วนหรือไม่สมบูรณ์ ทำให้โรงพยาบาลที่ควรเป็น ‘เจ้าหนี้’ กลายเป็น ‘ลูกหนี้’ ได้ง่าย ๆ

 

ข้อโต้แย้งจาก สปสช. และเสียงสะท้อนจากโรงพยาบาล

 

ในช่วงบ่ายของวันที่ 20 ตุลาคม 2568 ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ โฆษก สปสช. ได้ออกมา โต้แย้งข้อมูลของ นพ.วีระพันธ์ ว่า ‘ไม่เป็นความจริง’ โดยชี้แจงดังนี้

 

ทพ.อรรถพร ยืนยันว่า การโอนเงินตามรอบปกติ สปสช. ได้โอนเงินค่าบริการผู้ป่วยใน (IP) ในรอบเดือนสิงหาคม-กันยายน 2568 ไปแล้วรวม 3,108 ล้านบาท และเตรียมโอนเพิ่มเติมอีก 2,753 ล้านบาท ภายในสัปดาห์เดียวกัน โดยยืนยันว่าการจ่ายเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด

 

ส่วนเหตุผลในการปรับการจ่าย ยอมรับว่ามีการปรับการคำนวณย้อนหลัง เนื่องจาก งบประมาณเป็นแบบปลายปิด (Global budget) และผลงานการให้บริการผู้ป่วยในเพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ ทำให้ค่าเฉลี่ยภาพรวมทั้งประเทศลดลงเหลือประมาณ 7,800 บาทต่อ AdjRW. จากอัตราเบื้องต้น 8,350 บาท ซึ่งต้องมีการคำนวณและปรับการจ่ายใหม่ตามหลักการบัญชี

 

อย่างไรก็ตาม ในช่วงเย็นของวันเดียวกัน โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก ได้ออกมาตอกย้ำถึงปัญหา โดย นพ.มาโนช อู่วุฒิพงษ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาล เปิดเผยว่า โรงพยาบาลถูก สปสช. ค้างชำระรวมกว่า 238 ล้านบาท แต่เพิ่งได้รับคืนเพียง 15 ล้านบาท พร้อมระบุว่า ค่า 1RW ที่ สปสช. จ่ายคืนลดลงเหลือเพียง 6,000-7,000 บาทต่อเคส ขณะที่ต้นทุนจริงสูงถึง 16,000 บาท ซึ่งสอดคล้องกับข้อกังวลเรื่องการขาดทุนและภาระที่โรงพยาบาลต้องแบกรับ

 

ผลกระทบถึงประชาชน: การถอนตัวของโรงพยาบาลเอกชน

 

ผลกระทบของวิกฤตหนี้ สปสช. ไม่ได้จำกัดอยู่แค่โรงพยาบาลของรัฐเท่านั้น ในช่วงค่ำของวันที่ 20 ตุลาคม นพ.ไพบูลย์ เอกแสงศรี นายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน เปิดเผยกับฐานเศรษฐกิจว่า โรงพยาบาลเอกชนกว่า 400 แห่ง ทยอยถอนตัวจากระบบ สปสช. จนปัจจุบันเหลือเพียง 9-10 แห่งทั่วประเทศ

 

สาเหตุหลักคือ ปัญหาการค้างชำระหนี้ และ ความยุ่งยากในขั้นตอนการตรวจสอบย้อนหลัง ที่ต้องใช้เอกสารและเวชระเบียนที่สมบูรณ์ทุกขั้นตอน

 

การถอนตัวของโรงพยาบาลเอกชน (ล่าสุดคือ รพ.มงกุฎวัฒนะ) ส่งผลให้ประชาชนผู้ใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้ากว่า 48 ล้านคน ต้องเข้าถึงบริการที่จำกัดลง โรงพยาบาลหลายแห่งเริ่มมีผลกระทบต่อคุณภาพบริการ เช่น

 

  • ต้องเดินทางไปรักษาไกลขึ้น เนื่องจากหน่วยบริการใกล้เคียงทนแบกรับภาระไม่ไหวและหยุดให้บริการ
  • ได้รับยาน้อยลง (เช่น จาก 3 เดือนเหลือ 1 สัปดาห์) หรือ ถูกเปลี่ยนไปใช้ยาที่ประสิทธิภาพต่ำลง เนื่องจากโรงพยาบาลไม่มีเงินสั่งซื้อยาดีๆ นอกบัญชี
  • ประสิทธิภาพการรักษาลดลง เช่น ในผู้ป่วยโรคหัวใจ อาจต้องเลือกผ่าตัดรักษาเส้นเลือดที่ตีบเพียงเส้นเดียวที่ถือเป็นปัญหาหลักเพื่อการเบิกจ่ายได้ก่อน แทนที่จะรักษาพร้อมกันทั้ง 3 เส้น

 

จับตาการแถลงข่าววันนี้: ทางออกของวิกฤตสาธารณสุข

 

ล่าสุด ในวันนี้ (21 ตุลาคม) เวลา 10.00 น. กรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา เตรียมแถลงข่าวใหญ่ที่รัฐสภา เพื่อนำเสนอข้อเท็จจริงและเรียกร้องให้มีการแก้ไขปัญหาที่สังคมกำลังจับตาดูว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะสามารถหาแนวทางปรับปรุงโครงสร้างการบริหารงบประมาณและชำระหนี้ค้างจ่าย เพื่อให้ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของไทยสามารถดำรงอยู่ได้อย่างยั่งยืนและรักษามาตรฐานการรักษาพยาบาลให้แก่ประชาชนได้ต่อไปอย่างไร

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising