วันนี้ (8 ธันวาคม) เวลา 10.30 น. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โดย วสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และ บุญเกื้อ สมนึก ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ แถลงข่าวเด่นประจำสัปดาห์ครั้งที่ 43/2565
วสันต์เปิดเผยว่า กสม. ได้รับเรื่องร้องเรียนเมื่อเดือนมกราคม 2564 เกี่ยวกับการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลด้วยเหตุแห่งสุขภาพ ระบุว่า เว็บไซต์ของสถานปฏิบัติธรรมแห่งหนึ่งได้แจ้งให้ผู้หญิงที่สนใจจะบวชชีกับสถานปฏิบัติธรรมแห่งนั้น ต้องแสดงหนังสือรับรองของแพทย์ที่ระบุถึงผลตรวจเชื้อเอชไอวี (Human Immunodeficiency Virus: HIV) ประกอบการพิจารณาขอรับบวชด้วย ซึ่งผู้ร้องเห็นว่า การกำหนดหลักเกณฑ์ในลักษณะดังกล่าวเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนของผู้ที่ประสงค์จะบวช จึงขอให้ตรวจสอบ
กสม. พิจารณาแล้วเห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 27 ให้การรับรองว่า บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย มีสิทธิ เสรีภาพ และได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคล ไม่ว่าด้วยเหตุความแตกต่างในเรื่องสภาพทางกายหรือสุขภาพ หรือเหตุอื่นใด จะกระทำมิได้ นอกจากนี้มาตรา 31 ยังให้การรับรองเสรีภาพของบุคคลในการนับถือศาสนา ซึ่งย่อมมีเสรีภาพในการปฏิบัติหรือประกอบพิธีกรรมตามหลักศาสนาของตน ด้วย
จากการตรวจสอบและการรับฟังข้อเท็จจริง สถานปฏิบัติธรรมผู้ถูกร้องชี้แจงว่า ไม่ได้มีเจตนาลิดรอนสิทธิของผู้ติดเชื้อ HIV การขอให้ผู้ที่ประสงค์จะบวชชีตรวจโรคต่างๆ ได้แก่ HIV, วัณโรค, ไวรัสตับอักเสบ และสารเสพติด เป็นไปเพื่อการดูแลคนที่มาอยู่รวมกันหมู่มาก ให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างถูกสุขอนามัยเท่านั้น
ด้านกระทรวงสาธารณสุขให้ข้อมูลทางการแพทย์เกี่ยวกับการแพร่เชื้อ HIV สรุปได้ว่า เชื้อ HIV จะไม่ติดต่อจากการทำกิจวัตรประจำวันทั่วไป เช่น การจับมือ การใช้ห้องน้ำ การรับประทานอาหารร่วมกัน การสัมผัสเหงื่อ น้ำตา น้ำลายที่ไม่มีเลือด หรือน้ำเหลืองของผู้ติดเชื้อ เป็นต้น และไม่ติดต่อผ่านทางระบบหายใจ แต่จะติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อโดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย การใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้ติดเชื้อ หรือการได้รับเลือดจากผู้ติดเชื้อเท่านั้น
อีกทั้งเชื้อ HIV เป็นเชื้อที่ตายง่ายเมื่ออยู่นอกร่างกาย หากผู้ติดเชื้อ HIV ได้รับประทานยาต้านเชื้ออย่างต่อเนื่อง ก็จะมีสุขภาพที่แข็งแรง ใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติทั่วไป และอาจตรวจไม่พบเชื้อหรือพบแต่น้อยมากในระดับที่ไม่สามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้
เมื่อตรวจสอบระเบียบปฏิบัติของมูลนิธิสถาบันแม่ชีไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ กำหนดหนึ่งในคุณลักษณะของผู้ที่ประสงค์จะบวชชีไว้ในระเบียบว่า มิได้เป็นโรคที่ต้องห้าม อันเป็นโรคร้ายแรงหรือโรคติดต่อที่สังคมรังเกียจ ประกอบกับปรากฏข้อเท็จจริงว่า สำนักชีแห่งหนึ่งซึ่งลงทะเบียนกับมูลนิธิสถาบันแม่ชีไทยเคยอนุญาตให้ผู้ติดเชื้อ HIV บวชชีได้ในระยะเวลาที่กำหนด เนื่องจากไม่ได้ขัดต่อระเบียบปฏิบัติ อีกทั้งการปฏิบัติธรรมในระหว่างการบวชชีไม่มีกิจกรรมใดที่อาจสุ่มเสี่ยงต่อการแพร่ของเชื้อ
ขณะเดียวกันสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้ให้ข้อเท็จจริงว่า กฎ ระเบียบ และพุทธบัญญัติ ไม่มีการบัญญัติกรณีการบรรพชาอุปสมบทให้กับผู้ติดเชื้อ HIV มีเพียงแนวทางการปฏิบัติในปัจจุบันที่การบรรพชาอุปสมบทให้กับผู้ที่ติดเชื้อ HIV ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของพระอุปัชฌาย์ในการพิจารณาว่า อาการเจ็บป่วยของโรคเป็นอุปสรรคต่อการศึกษาพระธรรมหรือไม่
นอกจากนี้กฎมหาเถรสมาคมเกี่ยวกับการบรรพชาอุปสมบทเป็นภิกษุสงฆ์ก็กำหนดเพียงว่า ผู้ประสงค์จะบรรพชาต้องเป็นผู้มีร่างกายสมบูรณ์ และมีเพียงข้อห้ามของมหาเถรสมาคมที่ไม่อนุญาตให้บรรพชาอุปสมบทกับคนที่มีโรคติดต่อเป็นที่น่ารังเกียจ เช่น วัณโรคในระยะอันตราย เท่านั้น
ด้วยเหตุผลข้างต้น กสม. จึงเห็นว่า การกำหนดให้ผู้ประสงค์จะบวชชีต้องแสดงเอกสารตรวจสุขภาพ โดยระบุให้ตรวจเชื้อ HIV ก่อนจะรับเข้าบวช เป็นการกำหนดเงื่อนไขที่เกินสมควรแก่ความจำเป็น จึงเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมโดยอาศัยเหตุแห่งสุขภาพ
อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2565 พบว่า สถานปฏิบัติธรรมผู้ถูกร้องได้ยกเลิกเงื่อนไขให้ผู้ประสงค์จะบวชชีต้องแสดงหนังสือรับรองผลการตรวจเชื้อ HIV แล้ว จึงถือว่าข้อร้องเรียนได้รับการแก้ไขปัญหาอย่างเหมาะสมแล้ว
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนตระหนักถึงการเคารพสิทธิมนุษยชน กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชนเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2565 จึงเห็นควรมีข้อเสนอแนะไปยังสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติและกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม โดยให้ทั้งสองหน่วยงานประสานกระทรวงสาธารณสุข ดำเนินการเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับการติดเชื้อ HIV ให้กับหน่วยงานศาสนาต่างๆ เช่น วัดพระพุทธศาสนา, สำนักสงฆ์, สำนักชีไทย, สถานที่ปฏิบัติธรรม และอื่นๆ เพื่อให้มีความเข้าใจและมิให้มีการเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม โดยอาศัยเหตุแห่งการติดเชื้อ HIV มาเป็นข้อจำกัดที่ลิดรอนโอกาสในการเข้าถึงเสรีภาพในการปฏิบัติตามหลักศาสนาทุกศาสนา