เป็นเวลากว่า 130 ปีแล้วที่ ‘เนสท์เล่’ ผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มรายใหญ่ที่สุดของโลกได้เข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไทย
จาก ‘นมข้นหวาน ตรา แหม่มทูนหัว’ (Milkmaid) ได้ขยายมาสู่ผลิตภัณฑ์ชื่อคุ้นหูของคนไทยไม่ว่าจะเป็น เนสกาแฟ นมตราหมี ไมโล เนสท์เล่ เพียวไลฟ์ และอื่นๆ รวมกว่า 400 SKU จากทั้งหมด 25-30 แบรนด์ด้วยกัน
‘Good Food, Good Life’ คำเหล่านี้แสดงถึงคำมั่นสัญญาที่เนสท์เล่ยึดถือในการดำเนินธุรกิจ โดยมีเป้าหมายคือความสุขและคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้บริโภคผ่านทางอาหารและเครื่องดื่มที่มีประโยชน์
เนสท์เล่เชื่อว่าอาหารและเครื่องดื่มมีบทบาทสำคัญในการดำเนินชีวิตเพื่อการมีสุขภาพดีและมีความสมดุล โดยยังคงไว้ซึ่งรสชาติที่อร่อย และสร้างความเพลิดเพลินให้กับชีวิตได้ ดังนั้น เนสท์เล่จึงมุ่งมั่นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ตามแนวคิดนี้
ด้วยเหตุนี้เองเนสท์เล่จึงเป็นแบรนด์ที่อยู่กับผู้บริโภคตั้งแต่เด็กจนโต ผ่านผลิตภัณฑ์ที่กล่าวมาข้างต้น
“เราให้ความสำคัญกับการพัฒนาโภชนาการเพื่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี เราเป็นผู้นำทางด้านอาหารที่อยากให้ผู้คนใช้ชีวิตอย่างมีความสุขจากอาหารรสชาติอร่อย และมีโภชนาการที่ดีต่อทุกช่วงวัย โดยเรามีเป้าหมายทำให้คนไทยมีทางเลือกในการรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ” วิคเตอร์ เซียห์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เนสท์เล่ อินโดไชน่า กล่าว
สร้างคุณค่าให้กับสังคมไทยตลอด 130 ปี
ตลอดระยะเวลา 130 ปี เนสท์เล่ได้สร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้กับสังคมไทยตามหลักการ ESG ทุกมิติ ซึ่งได้แก่ สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล โดยมุ่งเน้นการปกป้องและฟื้นฟูดูแลสิ่งแวดล้อมภายใต้แผนงานด้านความยั่งยืน Net Zero 2050
เนสท์เล่สร้างคุณค่าให้กับสังคม ด้วยการนําเสนอผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพและมีรสชาติที่อร่อย ปัจจุบัน เนสท์เล่มีผลิตภัณฑ์ 100 รายการที่ได้รับการรับรองสัญลักษณ์ทางเลือกสุขภาพ (Healthier Choice Logo) ผลิตภัณฑ์โภชนาการสำหรับเด็กของเนสท์เล่ทั้งหมด 100% ยังมีการเสริมแร่ธาตุและวิตามิน เพื่อช่วยป้องกันการขาดสารอาหารในเด็กวัยหัดเดินและเด็กเล็ก รวมทั้งยังได้ดำเนินโครงการให้ความรู้ด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีแก่ประชาชนคนไทยมาหลายทศวรรษ
เนสท์เล่มีบทบาทสำคัญในการร่วมพัฒนาเศรษฐกิจไทยผ่านการสร้างงาน โดยเนสท์เล่ประเทศไทยมีพนักงานราว 4,000 คน และทำให้เกิดการจ้างงานทางอ้อมอื่นๆ อีกกว่า 10,000 ตำแหน่งจากพันธมิตรทางธุรกิจ นอกจากนี้ ยังมีการลงทุนอย่างต่อเนื่องในประเทศไทยกว่า 1.36 หมื่นล้านบาทในการเปิดโรงงานใหม่ 2 แห่งในไทยในช่วงปี 2018-2022
อีกทั้งยังมีการส่งออกผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในประเทศไทยหลายชนิดไปยังนานาประเทศ นอกจากนี้ ยังยึดหลักธรรมาภิบาลในการดำเนินธุรกิจมากว่า 130 ปีในประเทศไทย โดยมีแนวทางในการปฏิบัติงานที่สอดคล้องกับมาตรฐานสูงสุดตลอดห่วงโซ่คุณค่า
“เรายังเชื่อมั่นในการขับเคลื่อนตลาดประเทศไทยและผู้บริโภคชาวไทย ถึงแม้ว่าเราจะมาจากสวิตเซอร์แลนด์ แต่ก็ได้ดำเนินธุรกิจเหมือนบริษัทไทยด้วยการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคคนไทย ซึ่งเราจะยังยึดมั่นแนวนี้ต่อไปในการวางแผนธุรกิจของประเทศไทย”
ลงทุนกว่า 1 หมื่นล้านบาทในปี 2023
ความตั้งใจของเนสท์เล่ในการตอบสนองของผู้บริโภคคนไทย ทำให้เนสท์เล่ได้ประกาศการลงทุนรวมในปี 2023 เป็นจำนวนประมาณ 1 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนในโรงงาน จำนวนประมาณ 6.5 พันล้านบาท และลงทุนในด้านธุรกิจและการตลาด จำนวนประมาณ 3.5 พันล้านบาท
สิ่งที่น่าสนใจคือเนสท์เล่มีการลงทุนในสายการผลิตของหน่วยธุรกิจเนสท์เล่ เพียวริน่า เพ็ทแคร์ (Purina Pet Care) จำนวน 500 ล้านฟรังก์สวิส ซึ่งเป็นการลงทุนครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบ 5 ปี และในปีนี้จะมีการเพิ่มกำลังการผลิตขึ้นถึง 50%
หากจำกันได้เมื่อต้นปี 2022 เนสท์เล่เพิ่งเปิดโรงงานเนสท์เล่ เพียวริน่า เพ็ทแคร์ ด้วยเงินลงทุน 5 พันล้านบาท สำหรับผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงชนิดเปียกคุณภาพสูงให้กับตลาดทั้งในและต่างประเทศ
“ในปีนี้และในอนาคตข้างหน้า เนสท์เล่จะเน้น 2 กลยุทธ์หลัก คือการขับเคลื่อนสิ่งดีๆ เพื่อผู้บริโภค (Good for You) ที่จะสานต่อความมุ่งมั่นของเราในเรื่องโภชนาการเพื่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี พร้อมรสชาติที่อร่อย และขับเคลื่อนสิ่งดีๆ เพื่อโลกของเรา (Good for the Planet) เพื่อให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์และการดำเนินงานของเนสท์เล่มีความยั่งยืน ทั้ง 2 กลยุทธ์สำคัญนี้จะช่วยให้เราสามารถ ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยในการรับประทานอาหารอย่างสมดุล ด้วยทางเลือกที่อร่อยและดีต่อสุขภาพในราคาที่เข้าถึงได้ พร้อมๆ กับการช่วยให้โลกเราน่าอยู่มากขึ้นด้วย”
เทรนด์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปขับเคลื่อนทิศทางการดำเนินธุรกิจเนสท์เล่ปี 2023
รู้เขา รู้เรา รบ 100 ครั้ง ชนะ 100 ครั้ง เป็นสุภาษิตที่สามารถใช้กับกลยุทธ์ของเนสท์เล่ได้เป็นอย่างดี เพราะพฤติกรรมของผู้บริโภคถือเป็นส่วนสำคัญในการกำหนดทิศทางก้าวต่อไปของเนสท์เล่
วิคเตอร์ฉายภาพว่า เมื่อเราก้าวสู่โลกยุคหลังโควิด ผู้บริโภคนอกจากจะมีการบริโภคนอกบ้านมากขึ้น และเกิดการบริโภคจากความอยากซื้อทันทีโดยไม่ได้วางแผนมาก่อนแล้ว ยังมีเทรนด์ผู้บริโภคระยะกลางถึงระยะยาวจากการวิจัยล่าสุด ซึ่งพบว่าคนไทยหันมาใส่ใจกับการรับประทานอาหารอย่างสมดุล หรือ Balanced Diet และการมีไลฟ์สไตล์ที่รักษ์โลกมากขึ้น
ปัจจุบันผู้บริโภคหันมาดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ด้วยการเติมเต็มชีวิตในด้านสังคมและจิตใจ ซึ่งหมายถึงการรับประทานอาหารอย่างสมดุล และทำให้สุขภาพดีขึ้น แต่ยังคงรับประทานของหวานหรือขนมที่สร้างความสุขสุนทรีเล็กๆ น้อยๆ ให้กับจิตใจ ที่สำคัญคือ ผู้บริโภคจะไม่ประนีประนอมเรื่องรสชาติ คือทุกอย่างต้องอร่อยเท่านั้น
ขณะที่ผู้บริโภคที่มีอายุมากกว่า 45 ปี เริ่มตระหนักถึงความยั่งยืนมากขึ้น คนรุ่นใหม่ที่มีอายุน้อยกว่า 35 ปี ก็ต้องการสนับสนุนแบรนด์ที่มีแนวทางด้านความยั่งยืน และคาดหวังมากขึ้นว่าแบรนด์จะทําหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและมีความโปร่งใสมากขึ้น สะท้อนถึงไลฟ์สไตล์รักษ์โลก ผู้บริโภคใส่ใจว่าผลิตภัณฑ์มีที่มาจากไหนและผลิตมาอย่างไร ทุกวันนี้ คนไทย 62% ระบุว่า ได้นําแนวการบริโภคอย่างยั่งยืนมาใช้ในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์
‘ขับเคลื่อนสิ่งดีๆ เพื่อผู้บริโภค’ หัวใจสำคัญของการสร้างโภชนาการและสุขภาพที่ดีให้คนไทย
ด้วยกลยุทธ์การขับเคลื่อนสิ่งดีๆ เพื่อผู้บริโภค เนสท์เล่จะมุ่งสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่อร่อยขึ้นและดีต่อสุขภาพมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมพัฒนาพอร์ตผลิตภัณฑ์ให้มีรสชาติที่อร่อยและมีโภชนาการสูงกว่ามาตรฐานอุตสาหกรรม ผ่านเกณฑ์โภชนาการของบริษัทที่เข้มงวดในการพัฒนาผลิตภัณฑ์
โดยเนสท์เล่จะเดินหน้านำเสนอผลิตภัณฑ์เพื่อให้เป็นตัวเลือกที่ ‘ดีต่อสุขภาพ’ ให้กับผู้บริโภค เช่น การนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางเลือกที่ลดน้ำตาล ลดโซเดียม การเสริมวิตามินและแร่ธาตุ และพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ทำจากพืชให้เป็นตัวเลือกสำหรับผู้บริโภค เช่น ผลิตภัณฑ์แบรนด์ฮาร์เวสต์ กูร์เมต์ ในรูปแบบขายปลีก
เนสท์เล่จะเดินหน้าดำเนินกิจกรรมการให้ความรู้ในปี 2023 อย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นการให้ความรู้ด้านการรับประทานอาหารที่ถูกต้องเหมาะสม เสริมสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพ และสร้างแรงบันดาลใจให้คนไทยดูแลสุขภาพให้แข็งแรงและมีความสุข โดยมีกิจกรรมหลัก ได้แก่
- เนสท์เล่คาราวานครอบครัวแข็งแรง กิจกรรมให้ความรู้เรื่องโภชนาการเพื่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีในพื้นที่ต่างๆ พร้อมทั้งส่งเสริมเรื่องการจัดการขยะและให้ความรู้เกี่ยวกับการรีไซเคิล โดยตั้งเป้าในการเข้าถึงผู้บริโภค 300,000 คนใน 130 ชุมชนทั่วประเทศ
- โครงการสาสุขอุ่นใจ โดยร่วมมือกับกรมอนามัย เพื่อขับเคลื่อน 130 ชุมชนทั่วประเทศสร้างสุขนิสัยในการดูแลสุขภาพให้แข็งแรงยิ่งขึ้น
‘ขับเคลื่อนสิ่งดีๆ เพื่อโลกของเรา’ การยืนยันถึงเป้าหมายเพื่อความยั่งยืน
ด้วยความมุ่งมั่นในการดูแลและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม เนสท์เล่ยังมีอีกหนึ่งกลยุทธ์หลักในขับเคลื่อนสิ่งดีๆ เพื่อโลกของเรา (Good for the Planet) เพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero ในปี 2050 ซึ่งจะเป็นสิ่งที่กําหนดทิศทางและการดำเนินงานหลักๆ ของบริษัท
จากการดำเนินงานตามแผนงานด้านความยั่งยืนของเนสท์เล่ในประเทศไทยตลอดหลายปีที่ผ่านมาคืบหน้าเป็นอย่างมากในทุกด้าน อาทิ 95% ของบรรจุภัณฑ์เนสท์เล่ ประเทศไทย ได้รับการออกแบบให้สามารถนำไปรีไซเคิลได้ มีการใช้พลังงานทดแทนในกระบวนการผลิต และใช้เมล็ดกาแฟที่มีการจัดหาอย่างยั่งยืน 100%
ในปีนี้ เนสท์เล่จะดำเนิน 2 โครงการใหม่เพื่อช่วยให้ก้าวสู่เป้าหมาย Net Zero ซึ่งโครงการแรกเป็นการต่อยอดความสําเร็จของโครงการเยาวชนพิทักษ์สายน้ำที่อยุธยา โดยขยายไปสู่โครงการใหม่ในการพิทักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำหนองทุ่งทองในจังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์น้ำของโรงเรียนและชุมชนโดยรอบพื้นที่ชุ่มน้ำริมแม่น้ำตาปี ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงงานสุราษฎร์ธานีที่ใช้ผลิตน้ำดื่มของเนสท์เล่ และโครงการที่ 2 คือการปลูกป่าในพื้นที่เพาะปลูกกาแฟในจังหวัดชุมพรและระนอง
130 ปี ‘ส่งต่อสิ่งดีๆ ให้ไม่เคยเปลี่ยน’
ในโอกาสครบรอบ 130 ปีที่เนสท์เล่ได้มุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น มีรสชาติที่อร่อยขึ้น ด้วยวิถีทางที่ยั่งยืนมากขึ้นให้กับคนไทย
เนสท์เล่จึงได้เปิดตัวแคมเปญการสื่อสารสุดพิเศษเพื่อสะท้อนบทบาทของเนสท์เล่ในการ ‘ส่งต่อสิ่งดีๆ ให้ไม่เคยเปลี่ยน’ จากรุ่นสู่รุ่น
เพราะไม่ว่าความต้องการของผู้คนจะเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลามากแค่ไหนก็ตาม แต่เนสท์เล่ก็จะเป็นบริษัทอาหารและเครื่องดื่มอันดับ 1 ที่คนไทยเชื่อมั่นและไว้วางใจตลอดมา
แม้เวลาจะผันเปลี่ยนไปในทุกวินาที แต่ความตั้งใจของเนสท์เล่ในการสร้างโภชนาการเพื่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับคนไทยทุกคนจะยังอยู่ เพื่อส่งต่อสิ่งดีๆ ให้ไม่เคยเปลี่ยน