โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ประกาศเตรียมกลับไปใช้นโยบายห้ามไม่ให้เพศทางเลือกเข้าร่วมกองทัพอเมริกาอีกครั้งหนึ่ง
ทรัมป์เปิดเผยผ่านทวิตเตอร์ว่า “หลังจากปรึกษานายพลและผู้เชี่ยวชาญทางการทหารแล้ว โปรดทราบว่า รัฐบาลสหรัฐจะไม่ยอมรับ หรืออนุญาตให้บุคคลเพศทางเลือกรับใช้กองทัพอเมริกันไม่ว่าในช่องทางใดก็ตาม
“กองทัพของเรามุ่งเน้นต่อชัยชนะอันเด็ดขาดและไม่สามารถแบกรับค่าใช้จ่าย และความวุ่นวายที่เพศทางเลือกในกองทัพนำมาได้” ทรัมป์ทวีตปิดท้าย
แอช คาร์เตอร์ รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมในยุคประธานาธิบดีบารัก โอบามา ได้มีการอนุญาตให้เพศทางเลือกเข้าร่วมกองทัพได้ในปี 2016
งานศึกษาโดยกระทรวงกลาโหมสหรัฐระบุว่า การอนุญาตให้เพศทางเลือกเข้าร่วมกองทัพส่งผลเพียงเล็กน้อยต่อการเตรียมความพร้อมและค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพ พร้อมกันนี้ยังเปิดเผยว่า มีบุคคลเพศทางเลือกประมาณ 2,450 คน เข้าร่วมกองทัพสหรัฐที่มีกำลังพลประจำ 1.2 ล้านคน
ข้อมูลเปิดเผยว่า ในแต่ละปีมีเจ้าหน้าที่ในกองทัพ 30-140 คน เข้ารับฮอร์โมน ขณะเดียวกันมีคนเข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศประมาณ 25-130 คน โดยค่าใช้จ่ายในการแปลงเพศตามที่กองทัพเคยจ่ายไปอยู่ระหว่าง 2.4-8.4 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 86-302 ล้านบาท) ซึ่งถูกย้ำว่าเป็นค่าใช้จ่ายเพียงส่วนน้อยมากๆ หรือคิดเป็นเพียง 0.004-0.017 เปอร์เซ็นต์ของค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ที่กระทรวงกลาโหมจ่ายไปต่อปี
Photo: JEWEL SAMAD/AFP
Photo: JEWEL SAMAD/AFP
ท่าทีล่าสุดของประธานาธิบดีวัย 71 ปีรายนี้สวนทางกับที่เขาเคยกล่าวไว้ระหว่างหาเสียงว่า เขาสนับสนุนกลุ่มความหลากหลายทางเพศ พร้อมย้ำว่า “ผมจะสู้เพื่อคุณ”
เมื่อปี 2011 รัฐบาลสหรัฐยกเลิกนโยบาย ‘ห้ามถามห้ามตอบ’ (Don’t ask, don’t tell) ที่ไม่อนุญาตให้ทหารในกองทัพเปิดเผยหรือถามถึงเพศภาวะของแต่ละบุคคล
แอรอน เบลกิน (Aaron Belkin) ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเพศสภาพและเพศภาวะศึกษาในกองทัพอย่าง Palm Centre กล่าวว่า การตัดสินใจของทรัมป์จะบีบให้กลุ่มเพศทางเลือกต้องใช้ชีวิตแบบที่เคยมีในยุคห้ามถามห้ามตอบ ที่กระทบกระเทือนต่อเพศทางเลือกในกองทัพสหรัฐฯ เกือบ 20 ปี
ขณะเดียวกัน แดน คิลดี (Dan Kildee) ผู้แทนราษฎรจากพรรคเดโมแครต และรองประธานเพศทางเลือกคองเกรสมองว่า “ใครก็ตามที่เต็มใจจะสวมเครื่องแบบของสหรัฐอเมริกาและเสี่ยงชีวิตเพื่อประเทศ ควรได้รับการยกย่องในฐานะคนรักชาติ ไม่ว่าจะเป็นเพศใดก็ตาม นโยบายเหยียดไร้วิสัยทัศน์นี้จะทำให้อเมริกาปลอดภัยน้อยลง”
Cover Photo: SAUL LOEB/AFP
อ้างอิง:
