มีคนเชื่อว่าตัวเองกำลังทำความดีด้วยการเอาคนไม่ดีลงมาจากเวทีอำนาจ
จากนั้นก็เขียนกติกาการเมืองขึ้นมาใหม่เพื่อป้องกันไม่ให้คนไม่ดีกลับมามีอำนาจอีก
หรือถ้าขึ้นมาได้ ก็ต้องถูกฝ่ายคนดีควบคุมอย่างเข้มข้น
ในงานเสวนา ‘Direk’s Talk ทิศทางการเมืองโลก ทิศทางการเมืองไทย และนโยบายสาธารณะ’ ซึ่งจัดโดยศูนย์วิจัย ดิเรก ชัยนาม คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วันที่ 19 มิถุนายน 2560 ณ ห้อง ร.103 ชั้น 1 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
ดร. เสกสรรค์ เริ่มต้นก่อนการปาฐกถาโดยกล่าวกับแขกที่มาร่วมงานในวันนี้ว่า มีความรู้สึกยินดีและภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้รับเชิญมาพูดคุยกับท่าน โดยหลายปีที่ผ่านมา ได้ใช้ชีวิตวัยชราอยู่ในความเงียบสงัด ไม่ค่อยได้พบปะผู้คน แต่นั่นมิได้หมายความว่าจะไม่คิดถึงวงการที่คุ้นเคย และยิ่งมิได้หมายความผมจะไม่คิดถึงคณะและมหาวิทยาลัยที่ผมเคยใช้ชีวิตอยู่ถึง 30 ปี
ในการพบกันครั้งนี้ ดร. เสกสรรค์ออกตัวว่า ขอคารวะทุกคนที่มาในวันนี้ด้วยแง่คิดบางประการที่มีต่อบ้านเมืองของเรา และขอยืนยันว่าหัวข้อสนทนาของตนเองนั้นเป็นหัวข้อวิชาการ วิธีการวิเคราะห์ก็เป็นแบบวิชาการ ซึ่งอาจจะถูกหรือผิดก็ได้ พร้อมส่งท้ายด้วยถ้อยคำที่ว่า
“หวังว่าจะไม่มีผู้ใดตีความไปในทางอื่น และไม่มีผู้ใดมาทำให้วัยชราของผมเงียบสงัดไปกว่านี้อีก”
ความหมายของการเมืองที่ผมจะใช้ในวันนี้เป็นความหมายในระดับกว้างสุด ดังนั้นจึงกินความรวมทั้งนักการเมืองในระบบและนักการเมืองนอกระบบ ทั้งพวกที่แสวงหาชัยชนะในการเลือกตั้ง และพวกที่แสวงหาอำนาจโดยผ่านการแต่งตั้ง
ที่ผมต้องกล่าวเช่นนี้เพราะ 3-4 ปีที่ผ่านมามักมีการพูดถึงการเมืองโดยโยงนัยไว้ที่นักการเมืองและพรรคการเมืองเท่านั้น ทำให้เข้าใจกันผิดๆ ว่ามีแต่นักการเมืองฝ่ายเดียวที่เล่นการเมือง ฝ่ายอื่นๆ ไม่ได้เล่นการเมือง
คำพูดแบบรวบรัดดังกล่าว เมื่อนำมาบวกกับเรื่องคนดี คนไม่ดี ก็จะกลายเป็นข้อสรุปที่ว่า นักการเมืองที่เคยกุมอำนาจโดยผ่านระบบเลือกตั้งล้วนเป็นคนไม่ดี ส่วนคนที่อยู่บนเวทีอำนาจด้วยวิธีอื่นล้วนไม่ใช่นักการเมือง ดังนั้นจึงเป็นคนดี
แน่นอน วาทกรรมเช่นนี้ไม่เพียงขัดต่อหลักวิชาของพวกเราเท่านั้น หากยังขัดกับธรรมชาติของความจริง เพราะที่ไหนมีอำนาจ ที่นั่นก็มีการเมือง และมีคนเล่นการเมือง อันนี้เป็นเรื่องที่รู้กันมาตั้งแต่สมัยสามก๊กแล้ว ทั้งๆ ที่สมัยนั้นไม่มีระบบเลือกตั้ง
และจะว่าไป คนที่มาข้องเกี่ยวกับการแข่งขันชิงอำนาจหรือการใช้อำนาจ ก็มีดีมีชั่วปนๆ กันไป
ถามว่าทำไมผมเอาเรื่องนี้มาพูด คำตอบคือเพราะมันเป็นประเด็นสำคัญที่ช่วยอธิบายว่าเกิดอะไรขึ้นในบ้านเมืองของเราในระยะ 3-4 ปีมานี้ นับตั้งแต่การลุกฮือต้านรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของมวลชนคนเสื้อเหลือง ซึ่งนำไปสู่รัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 มาจนถึงการร่างและการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับ 2560 รัฐธรรมนูญที่ผู้ร่างเรียกเองว่าเป็นฉบับต้านโกง
ใช่หรือไม่ว่าทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะมีคนเชื่อว่าตัวเองกำลังทำความดีด้วยการเอาคนไม่ดีลงมาจากเวทีอำนาจ จากนั้นก็เขียนกติกาการเมืองขึ้นมาใหม่เพื่อป้องกันไม่ให้คนไม่ดีกลับมามีอำนาจอีก หรือถ้าขึ้นมาได้ก็ต้องถูกฝ่ายคนดีควบคุมอย่างเข้มข้น
แน่นอน หากผมพูดเพียงแค่นั้นมันก็ดูง่ายไป ถ้าจะพูดให้ยากขึ้นคงต้องบอกว่าปรากฏการณ์เหล่านี้ไม่เพียงเกิดขึ้นโดยการชูธงความดีเท่านั้น หากการชูธงดังกล่าวยังสะท้อนให้เห็นว่าใครขัดแย้งกับใครและเพราะอะไร
หากเราถอดนามธรรมออกมาเป็นรูปธรรมแล้วก็จะพบว่า พวกที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนไม่ดีนั้นล้วนผูกติดอยู่กับการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย ส่วนผู้ถือตนเป็นคนดี ตอนแรกก็เป็นมวลชนคนชั้นกลางในเมือง กับแกนนำที่มาจากพรรคการเมืองฝ่ายค้าน จากนั้นจึงมีการส่งไม้ต่อไปยังชนชั้นนำภาครัฐให้ช่วยลงดาบสุดท้าย
ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่าวิกฤติการเมืองที่เกิดขึ้นในประเทศไทยช่วง 2556-2557 ไม่ได้เป็นความขัดแย้งระหว่างมวลชนที่ใส่เสื้อสีต่างกันเท่านั้น หากยังกินลึกไปถึงความขัดแย้งระหว่างชนชั้นนำเก่าจากภาครัฐ กับชนชั้นนำใหม่ที่โตมาจากภาคเอกชนและขึ้นสู่อำนาจโดยผ่านการเลือกตั้ง โดยฝ่ายแรกคุมกลไกรัฐราชการ ฝ่ายหลังมีมวลชนเรือนล้านเป็นฐานเสียงสนับสนุน
ถ้าเราวางคอนเซปต์ไว้เช่นนี้ก็จะเห็นว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นความขัดแย้งที่ใหญ่โตเกินเรื่องราวของบุคคลและคณะบุคคล มันเป็นความขัดแย้งที่สะท้อนความไม่ลงตัวในโครงสร้างอำนาจในสังคมไทย ซึ่งนำไปสู่การเบียดขับแย่งยึดพื้นที่ของกันและกันในระดับระบอบต่อระบอบ
แน่นอน ความขัดแย้งที่ลงลึกขนาดนั้นคงไม่ใช่เรื่องที่แก้ไขได้ง่ายๆ ด้วยวิธีจับมือปรองดองกันของบรรดาแกนนำสีเหลือง สีแดง ในขณะที่ตัวละครเอกจริงๆ ถูกจัดไว้นอกสมการ
รัฐธรรมนูญฉบับ 2560 ยังมีบทบัญญัติต่างๆ ที่ทำให้แก้ไขได้ยากจนถึงขั้นเกือบเป็นไปไม่ได้
ซึ่งหมายถึงว่าผู้ร่างมีวัตถุประสงค์จะตรึงโครงสร้างอำนาจดังกล่าวไว้ให้นานแสนนาน
การเป็นคู่กรณีของชนชั้นนำภาครัฐนั้น สังเกตได้จากการที่นับวันอคติของพวกเขายิ่งขยายจากความรังเกียจนักการเมืองบางตระกูลไปสู่นักการเมืองและพรรคการเมืองโดยรวม นี่เป็นความรังเกียจที่มีต่อคู่ชิงอำนาจ ซึ่งเคยแสดงออกมาแล้วในปี 2534 และปี 2549
นอกจากนี้เรายังสังเกตได้ด้วยว่า หลังรัฐประหารปี 2557 แทนที่รัฐบาลทหารจะรีบแก้ไขความขัดแย้งระหว่างมวลชนเสื้อสี กลับเดินหน้ากำหนดนโยบายต่างๆ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมอย่างเร่งด่วน ทั้งนี้เพื่อขับเคลื่อนและผลักดันประเทศไทยให้เป็นไปตามวิสัยทัศน์ของตน
การทำสิ่งต่างๆ ดังกล่าวไม่ใช่ลักษณะของรัฐบาลที่ขึ้นมารักษาการณ์ชั่วคราว หากเป็นลักษณะของผู้ปกครองที่มีชุดความคิดของตัวเอง และประสงค์จะดัดแปลงโลกให้เป็นไปตามนั้น
ยิ่งไปกว่านั้น รัฐธรรมนูญฉบับ 2560 อันเป็นผลงานของรัฐบาลชุดปัจจุบันยังสะท้อนให้เห็นอย่างแจ่มชัดว่า ชนชั้นนำภาครัฐต้องการทวงคืนและรักษาพื้นที่ส่วนใหญ่ในเวทีอำนาจไว้อย่างถาวร อีกทั้งจำกัดพื้นที่ของนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง โดยไม่ให้อยู่ในฐานะผู้กุมอำนาจนำอีกต่อไป
ที่ผมพูดเช่นนี้ไม่ใช่ข้อกล่าวหา แต่เป็นข้อสังเกตที่ยืนยันได้จากข้อเท็จจริง โดยเฉพาะในประเด็นรัฐธรรมนูญนั้น เราสามารถมองเห็นเจตจำนงของผู้ร่างได้จากบทบัญญัติที่เป็นลายลักษณ์อักษร
ประการแรก ดังที่กำหนดไว้ในมาตรา 91 รัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้เปลี่ยนระบบเลือกตั้งแบบเดิมให้เป็นระบบใหม่ที่เรียกว่า ‘จัดสรรปันส่วนผสม’ ซึ่งจะทำให้อิทธิพลของพรรคใหญ่ถูกจำกัดลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมโอกาสของพรรคขนาดกลางและขนาดเล็ก ระบบดังกล่าวจะทำให้การได้เสียงข้างมากของพรรคเดียวเป็นไปได้ยาก และรัฐบาลที่ตั้งขึ้นอาจจะต้องเป็นรัฐบาลผสม ซึ่งไม่ค่อยมีเสถียรภาพ
พูดให้ชัดเจนขึ้นก็คือ ตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ระบบเลือกตั้งส.ส. บัญชีรายชื่อได้ถูกดัดแปลงให้ขึ้นต่อการเลือกตั้งส.ส. เขต โดยประชาชนใช้บัตรเลือกตั้งแค่ใบเดียว จากนั้นเอาคะแนนรวมของแต่ละพรรคจากเขตเลือกตั้งทั่วประเทศมาคำนวณหาจำนวนรวมของผู้แทนราษฎรที่พรรคการเมืองแต่ละพรรคควรมี และจำนวนส.ส. บัญชีรายชื่อที่พึงได้รับ พรรคไหนชนะเลือกตั้งส.ส. เขตเต็มโควตาแล้วก็จะไม่มีสิทธิมีส.ส. บัญชีรายชื่อเลย
ผลทางอ้อมของระบบเลือกตั้งเช่นนี้ย่อมทำให้การเสนอนโยบายในระดับชาติของพรรคการเมืองถูกลดความสำคัญลง เพราะถ้าเราดูจากประสบการณ์ที่ผ่านมาในระบบเลือกตั้งเดิมก็จะพบว่า การเลือกส.ส. เขตนั้น ผู้ลงคะแนนมักจะเลือกตัวบุคคลมากกว่าพรรค ส่วนการเลือกส.ส. บัญชีรายชื่อ มักเป็นการเลือกพรรคที่มีนโยบายโดนใจ
ประการต่อมา ในขณะที่อำนาจของนักการเมืองและพรรคการเมืองถูกจำกัดลงทั้งโดยตรงโดยอ้อม บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญยังเปิดพื้นที่ทางการเมืองใหม่ๆ ให้ชนชั้นนำภาครัฐอย่างเต็มที่ โดยกำหนดให้ข้าราชการชั้นสูงเป็นทั้งกรรมการสรรหาและเป็นผู้รับการสรรหามาดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระและกลไกควบคุมต่างๆ และที่น่าสนใจคือในกระบวนการดังกล่าว บทบาทและอำนาจของฝ่ายตุลาการได้ถูกยกระดับให้สูงขึ้นและแผ่ขยายออกไปมาก
ประเด็นสำคัญที่สุดดังที่ทุกท่านทราบดีอยู่แล้ว บทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ยังได้กำหนดให้สมาชิกวุฒิสภาชุดแรกมาจากการแต่งตั้งโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และกำหนดให้มีอำนาจร่วมกับสภาผู้แทนราษฎรในการรับรองหรือไม่รับรองผู้ที่มาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เรื่องนี้เมื่อบวกรวมกับบทบัญญัติที่ให้นายกรัฐมนตรีสามารถเป็นบุคคลนอกรายชื่อของพรรคการเมืองได้ ก็ทำให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญอยู่ตรงไหน
ประการสุดท้าย ถ้าเราดูบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญก็จะพบว่า พ.ร.บ. แผนและขั้นตอนการดำเนินการปฏิรูปประเทศ กับ พ.ร.บ. การจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งครม. ส่งร่างเข้าสภาแล้วจะต้องออกมาภายใน 4 เดือนหลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญ อันนี้หมายถึงว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งแทบจะกำหนดนโยบายอะไรเพิ่มไม่ได้เลย และอาจจะต้องกลายเป็นผู้สืบทอดนโยบาย คสช.เสียเอง
ยิ่งไปกว่านั้น รัฐธรรมนูญฉบับ 2560 ยังมีบทบัญญัติต่างๆ ที่ทำให้แก้ไขได้ยาก จนถึงขั้นเกือบเป็นไปไม่ได้ ซึ่งหมายถึงว่าผู้ร่างมีวัตถุประสงค์จะตรึงโครงสร้างอำนาจดังกล่าวไว้ให้นานแสนนาน
ดังนั้นเมื่อบวกรวมกับช่วงที่รัฐบาลทหารปกครองโดยตรงแล้ว เราอาจกล่าวได้ว่าการกุมอำนาจของชนชั้นนำภาครัฐคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 9-10 ปี
แน่ล่ะ ถ้าพูดถึงตัวบุคคลหรือแม้แต่คณะรักษาความสงบเรียบร้อย การสืบทอดอำนาจอาจจะไม่เป็นเส้นตรงขนาดนั้น แต่ถ้าพูดถึงชนชั้นนำภาครัฐแล้ว การต้องการพื้นที่ถาวรและอำนาจนำในปริมณฑลทางการเมืองเป็นสิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจน
ถ้าเราติดตามข่าวสารทั้งในสื่อหลักและโซเชียลมีเดียก็จะพบว่า ปัจจุบันมีผู้คนที่สนับสนุนระบอบเผด็จการอย่างเปิดเผยมากขึ้น และเท่าที่มีการแสดงออก บรรดากลุ่มทุนใหญ่กับบรรดาคนชั้นกลางในเมืองดูจะรู้สึกมั่นคงสบายใจกับรัฐบาลอำนาจนิยมมากกว่าประชาธิปไตยอย่างชัดเจน
ประเด็นที่ผมคิดว่าน่าสนใจมากคือ ทำไมชนชั้นนำภาครัฐและพันธมิตรทางสังคมจึงกล้าร่างรัฐธรรมนูญที่เอียงข้างตนเองออกมาได้ขนาดนี้
เรื่องนี้ถ้าเราพักเรื่องผิดถูกดีชั่วเอาไว้ก่อน ก็อาจจะวิจารณ์ได้ในหลายทาง
ในทัศนะส่วนตัวของผม คิดว่าเป็นไปได้ที่พวกเขาอาจจะรู้สึกว่าฐานะชนชั้นนำของตนที่มีมาแต่เดิมกำลังถูกกัดกร่อนคุกคามทั้งโดยกลุ่มนักการเมืองที่โตมาจากภาคเอกชน และโดยระบอบประชาธิปไตยที่ผนวกมวลชนชั้นล่างเข้ามาสู่ระดับกำหนดนโยบายมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ระบบทุนนิยมโลกในยุคโลกาภิวัตน์ก็กำลังแปรรูปรัฐชาติให้เป็นแค่ผู้จัดการตลาด ซึ่งเป็นตลาดที่ในแต่ละวันมีแต่จะย่อยสลายวัฒนธรรมจารีต และทุบทำลายค่านิยมที่ฝ่ายอนุรักษ์ยึดถือ
ด้วยเหตุดังนี้ ชนชั้นนำภาครัฐจึงต้องการกลับมามีฐานะนำในการกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐไทยกับทุนนิยมโลกให้เป็นไปตามแนวทางที่ตนเองยังคงมีบทบาทและมีที่อยู่ที่ยืนครบถ้วน ซึ่งการจะทำเช่นนั้นได้ก็ต้องคงฐานะทางการเมืองของรัฐชาติกึ่งจารีตไว้ให้ได้ภายใต้เงื่อนไขที่เปลี่ยนไป
ด้วยเหตุดังนี้ วาทกรรมเรื่องความดีจึงผูกติดอยู่กับวาทกรรมเรื่องความเป็นไทย
และด้วยเหตุดังนี้จึงมีการกำหนดทิศทางของประเทศโดยผ่านยุทธศาสตร์ชาติเอาไว้ก่อนการเลือกตั้งครั้งหน้า
อย่างไรก็ตาม นอกเหนือไปจากความวิตกกังวลดังที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว เราคงต้องยอมรับว่าการยึดอำนาจของชนชั้นนำภาครัฐครั้งนี้มีมวลชนสนับสนุนอยู่ไม่น้อย รัฐประหารปี 2557 ได้รับการเรียกร้องและนำร่องด้วยการเคลื่อนไหวมวลชน ซึ่งขยายตัวเป็นยุทธการที่โจมตีทั้งรัฐบาลจากการเลือกตั้ง และล้มกระดานประชาธิปไตยไปในคราเดียวกัน
แม้ว่าที่ผ่านมา ทั้งคณะรัฐประหารและขบวนที่นำร่องรัฐประหารต่างก็ยืนยันว่าต้องการสร้างประชาธิปไตยฉบับที่ดีกว่า แต่โดยไม่เป็นทางการ ถ้าเราติดตามข่าวสารทั้งในสื่อหลักและโซเชียลมีเดียก็จะพบว่า ปัจจุบันมีผู้คนที่สนับสนุนระบอบเผด็จการอย่างเปิดเผยมากขึ้น และเท่าที่มีการแสดงออก บรรดากลุ่มทุนใหญ่กับบรรดาคนชั้นกลางในเมืองดูจะรู้สึกมั่นคงสบายใจกับรัฐบาลอำนาจนิยมมากกว่าประชาธิปไตยอย่างชัดเจน
ถึงแม้ว่าคนเหล่านี้จะเป็นผู้ได้เปรียบในยุคโลกาภิวัตน์ แต่ก็อดรู้สึกถูกคุกคามไม่ได้ เมื่อฐานะได้เปรียบของพวกเขาถูกท้าทายโดยระบอบประชาธิปไตยที่อาศัยการเคลื่อนไหวมวลชนชั้นล่างๆ เป็นฐานเสียง
ดังนั้นพวกเขาจึงขานรับเรื่องคนดีและความเป็นไทยด้วยความเต็มอกเต็มใจ ทำให้เสียงยืนยันที่ว่า ประเทศไทยมีลักษณะพิเศษ และไม่จำเป็นต้องเหมือนฝรั่ง ดังกระหึ่มขึ้นมาพอสมควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่ชนที่มีการศึกษาสูง กระทั่งเรียนหนังสือกับฝรั่งมาคนละหลายๆ ปี
การวางแผนผังจัดสรรอำนาจที่ไม่สอดคล้องกับสภาพดุลกำลังทางสังคมที่เป็นอยู่ โดยผลักดันฐานะครอบงำของฝ่ายอนุรักษ์มากเกินจริงจึงเท่ากับซ่อนแรงเสียดทาน หรือกระทั่งระเบิดเวลาเอาไว้ตั้งแต่ต้น
ปรากฏการณ์ดังกล่าวนับว่าพลิกทฤษฎีรัฐศาสตร์เก่าๆ ที่ว่า คนชั้นกลางเป็นฐานทางสังคมของระบอบประชาธิปไตยไปเลย
ดังนั้นไม่ว่าใครจะรู้สึกอึดอัดกับรัฐธรรมนูญฉบับนี้แค่ไหนก็ตาม ผลการลงประชามติเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2559 ก็ยังปรากฏว่าร่างรัฐธรรมนูญ 2560 ได้รับการยอมรับโดยเสียงข้างมาก โดยมีคนเห็นชอบประมาณ 16 ล้าน 8 แสนเสียง ไม่เห็นชอบราว 10 ล้าน 5 แสนเสียง
แน่ล่ะ โดยหลักการแล้วก็คงต้องยอมรับว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ประกาศใช้โดยผ่านความเห็นชอบของประชาชน แต่ในโลกของความเป็นจริง 10 ล้านคนที่ไม่เห็นชอบก็ไม่ใช่คนหยิบมือเดียวที่จะมองข้ามได้ ทั้งนี้ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่าในช่วงรณรงค์ให้รับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยดูจะมีพื้นที่น้อยมากในการนำเสนอทัศนะของตน
และยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่า เมื่อถอยไปต้นปี 2557 ประชาชนที่มาลงคะแนนเพราะเห็นว่าการเลือกตั้งเป็นทางออกจากวิกฤติที่ดีกว่ารัฐประหารก็มีจำนวนมากถึงราว 20 ล้านคน ทั้งๆ ที่มีความพยายามที่จะขัดขวางการเลือกตั้งครั้งนั้นในหลายๆ แห่ง
ดังนั้นถ้าพิจารณากันตามเนื้อผ้า การที่รัฐธรรมนูญฉบับ 2560 สอบผ่านประชามติ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีคนจำนวนมหาศาลแอบคิดต่างอยู่เงียบๆ
ด้วยเหตุดังนี้ การวางแผนผังจัดสรรอำนาจโดยไม่สอดคล้องกับสภาพดุลกำลังทางสังคมที่เป็นอยู่ โดยผลักดันฐานะครอบงำของฝ่ายอนุรักษ์มากเกินจริง จึงเท่ากับซ่อนแรงเสียดทานหรือกระทั่งระเบิดเวลาเอาไว้ตั้งแต่ต้น
เช่นนี้แล้วอ ะไรเล่าที่ทำให้ผู้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันกล้าทำเกินดุลกำลังเปรียบเทียบระหว่างผู้สนับสนุนกับผู้คัดค้านอำนาจของชนชั้นนำภาครัฐ โดยบัญญัติให้เสียงของประชาชนมีผลน้อยที่สุดต่อการจัดตั้งรัฐบาลและการกำหนดนโยบาย
ในความเห็นส่วนตัวของผม คำตอบน่าจะอยู่ในนโยบายสองประการ หนึ่งคือการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อยกระดับประเทศไทยไปสู่ประเทศรายได้สูง หรือที่เรียกกันว่านโยบายไทยแลนด์ 4.0 และสอง นโยบายขับเคลื่อนจุดหมายทางเศรษฐกิจดังกล่าวด้วยกลไกประชารัฐ
แม้ว่าโดยภายนอกแล้ว นโยบายทั้งสองอย่างดูเป็นเรื่องเศรษฐกิจ แต่ผมคิดว่านี่เป็น Master Plan ในการช่วงชิงมวลชนและสร้างความชอบธรรมใหม่ของชนชั้นนำภาครัฐที่แยบยลมาก มันเป็นส่วนสำคัญของยุทธการยึดพื้นที่ทางการเมืองเพื่อสถาปนาอำนาจนำ ซึ่งเป็นการวางแผนที่เป็นระบบ และบูรณาการการโจมตีจากทุกมิติเข้าด้วยกัน
แน่ล่ะ กล่าวสำหรับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 นั้น รัฐบาลชุดนี้ยังคงยึดโยงอยู่กับระบบทุนโลกาภิวัตน์ซึ่งดำเนินไปภายใต้แนวทางเสรีนิยมใหม่ การจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษตามแนวชายแดน 10แห่ง รวมทั้งการจัดตั้งระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี ล้วนเป็นโครงการที่จะใช้ดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติและทุนในประเทศ
นอกจากนี้รัฐบาลยังมีโครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน infrastructures ซึ่งคิดเป็นงบประมาณถึง 2.4 ล้านล้านบาท มีการขยายระบบโลจิสติกส์ในระดับอภิมหาโครงการหลายอย่าง ตั้งแต่เพิ่มเส้นทางขนส่งในระบบราง ไปจนถึงการสร้างสนามบินและท่าเรือน้ำลึก ทั้งหมดนี้เพื่อเพิ่มโยงใยอันแน่นแฟ้นระหว่างประเทศไทยกับทุนนิยมโลกทั้งสิ้น
ความเหลื่อมล้ำสุดขั้วนั้นนำไปสู่ความรู้สึกไม่มั่นคงของทุกชนชั้น ด้วยเหตุดังนี้ ทุกฝ่ายจึงเรียกหาอำนาจการเมืองมาดูแลตน หรือใช้มันเปลี่ยนเกมที่ตนกำลังเสียเปรียบ
ล่าสุดกระทรวงพาณิชย์ได้ถอด 19 ธุรกิจออกจากบัญชี 3 แนบท้าย พ.ร.บ. การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว เพื่อเปิดโอกาสให้ทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในธุรกิจเหล่านี้โดยเสรี ซึ่งในบรรดาธุรกิจทั้ง 19 ประเภท มีธุรกิจการนำอสังหาริมทรัพย์ออกให้เช่า และธุรกิจบริการที่มีส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจเป็นคู่สัญญาด้วย
แต่ก็อีกนั่นแหละ การอาศัยระบบทุนนิยมที่ไร้ชาติมาสนองผลประโยชน์แห่งชาตินั้นนับเป็นเรื่องที่มีปัญหาย้อนแย้งกันอยู่ ปัญหาดังกล่าวไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นในรัฐบาลนี้แต่มีมาพักใหญ่แล้ว
จริงอยู่ การลงทุนจากต่างชาติอาจจะช่วยทำหน้าที่เป็นหัวรถจักรฉุดลากเศรษฐกิจไทยให้เติบโตในอัตราที่สูงขึ้น แต่การเติบโตทางเศรษฐกิจไม่ได้นำไปสู่การกระจายรายได้และลดความเหลื่อมล้ำโดยอัตโนมัติ กระทั่งอาจสวนทางกันในหลายๆ กรณี
การที่รัฐไทยต้องลดภาษีนิติบุคคลให้กับบรรดาผู้ประกอบการในเขตเศรษฐกิจพิเศษเป็นเวลา 5ปี อนุญาตให้เช่าที่ดิน ใช้ทรัพยากรในท้องถิ่นได้ในระยะยาว และลดเงื่อนไขอีกหลายๆ อย่างให้นักลงทุนพอใจ ย่อมหมายถึงว่าผลประโยชน์สูงสุดจะต้องตกเป็นของฝ่ายทุนอย่างแน่นอน
ใช่หรือไม่ว่า สภาพดังกล่าวย่อมขัดแย้งกับนโยบายลดความเหลื่อมล้ำ หรือการปรับโครงสร้างรายได้ให้เป็นธรรมมากขึ้น
พูดกันแบบตรงไปตรงมา ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยนั้นสั่งสมตัวมาหลายทศวรรษแล้ว ยิ่งในยุคโลกาภิวัตน์ ช่องว่างระหว่างรายได้ยิ่งขยายกว้างขึ้นอย่างรวดเร็ว
เดี๋ยวนี้เป็นที่ทราบกันดีว่าคนรวย 10 เปอร์เซ็นต์แรกของประชากรไทยมีรายได้สูงกว่าคนจนสุด 10 เปอร์เซ็นต์ล่างถึง 35 เท่า และคนรวย 10 เปอร์เซ็นต์นี้เป็นเจ้าของทรัพย์สินของประเทศถึง 79 เปอร์เซ็นต์ ล่าสุดจากการจัดอันดับอภิมหาเศรษฐีของนิตยสาร Forbes ปรากฏว่า มีเศรษฐีไทยติดอันดับ 500 บุคคลที่รวยที่สุดในโลกถึง 4 คน บางคนถึงขั้นอยู่ในอันดับ 100 คนแรก โดยมีทรัพย์สินมากกว่า 5 แสนล้านบาท ส่วนประเทศไทยนั้นถูกจัดเป็นประเทศเหลื่อมล้ำอันดับ 3ของโลก รองจากรัสเซียและอินเดีย
ทรัพย์สินประเภทหนึ่งที่สะท้อนความเหลื่อมล้ำในประเทศไทยได้เป็นอย่างดีคือที่ดิน ดังจะเห็นได้ว่าขณะที่เกษตรกร 40 เปอร์เซ็นต์ไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตัวเอง และขณะที่คนไทยมากกว่า 3 ใน 4 ไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดินใดๆ เลย นักธุรกิจบางตระกูลกลับถือครองที่ดินไว้ถึง 6 แสน 3 หมื่นไร่ โฉนดที่ดิน 61 เปอร์เซ็นต์ของประเทศไทยอยู่ในมือประชากร 10 เปอร์เซ็นต์ที่รวยสุด
แน่นอน ความเหลื่อมล้ำทางด้านทรัพย์สินย่อมนำไปสู่ความเหลื่อมล้ำทางด้านโอกาส โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โอกาสทางการศึกษาและทางเลือกในการประกอบอาชีพ ตลอดจนโอกาสในการปรับตัวเข้าสู่ยุคโลกาภิวัตน์ สภาพดังกล่าวทำให้การเปลี่ยนฐานะทางชนชั้นของผู้เสียเปรียบเป็นไปได้ยาก ซึ่งก็ส่งผลทำให้โครงสร้างทางชนชั้นของสังคมไทยมีลักษณะ rigid แข็งตัว และสร้างรอยแยกถาวรให้กับสังคม
ความเหลื่อมล้ำสุดขั้วนั้นนำไปสู่ความรู้สึกไม่มั่นคงของทุกชนชั้น ด้วยเหตุดังนี้ ทุกฝ่ายจึงเรียกหาอำนาจการเมืองมาดูแลตน หรือใช้มันเปลี่ยนเกมที่ตนกำลังเสียเปรียบ ซึ่งอาจจะเป็นอำนาจเผด็จการก็ได้ อย่างในกรณีคนชั้นสูงและคนชั้นกลางส่วนบน หรืออาจจะเป็นอำนาจของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งก็ได้ อย่างในกรณีเกษตรกรรายย่อยในชนบท
จริงอยู่ การใช้อำนาจการเมืองมาคุ้มครองผลประโยชน์ทางชนชั้นนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ของมนุษยชาติ แต่ในยุคโลกาภิวัตน์ ความปั่นป่วนผันผวนในเรื่องนี้ได้ทวีความเข้มข้นยิ่งขึ้นทั้งในสังคมไทย ยุโรป สหรัฐอเมริกา อเมริกาใต้ ตลอดจนที่อื่นๆ
การหวังให้กลุ่มทุนใหญ่เป็นผู้ขับเคลื่อนการยกระดับฐานะของธุรกิจเอสเอ็มอีและชนชั้นล่างๆ จะไม่สวนทางกับธรรมชาติของระบบทุนนิยมหรอกหรือ มันเป็นไปได้หรือไม่ที่ปลาใหญ่จะไม่กินปลาเล็ก
กลับมาเรื่องประเทศไทย 4.0
มันอาจจะเร็วเกินไปที่จะประเมินความสำเร็จหรือล้มเหลวของนโยบายนี้ แต่ถ้าพูดกันอย่างยุติธรรม นโยบายไทยแลนด์ 4.0นั้นมีจุดหมายที่ดีในการมุ่งพาประเทศไทยก้าวให้พ้นกับดักประเทศรายได้ปานกลาง ทั้งนี้โดยลดการพึ่งพาอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกแล้วหันมาโฟกัสที่การค้าและการบริการ (Trades & Services) อาศัยเทคโนโลยีขั้นสูงเปลี่ยนกระบวนการผลิต การทำงานมาสู่ระบบดิจิทัล และอาศัยนวัตกรรมกับเศรษฐกิจสร้างสรรค์เป็นแกนหลักของการสร้างรายได้
แต่ก็อีกนั่นแหละ คำถามยังคงมีอยู่ว่า คนไทยพร้อมแค่ไหนในการก้าวกระโดดไปสู่การทำงานในระบบเศรษฐกิจ 4.0
ในเรื่องนี้ ประเด็นความเหลื่อมล้ำยังคงเข้ามาเป็นอุปสรรคอย่างเลี่ยงไม่พ้น ถ้าเราดูตัวเลขจากผู้มีงานทำ 37.4 ล้านคน แรงงานในระบบอายุ 40 ปีขึ้นไปมีถึง 46 เปอร์เซ็นต์ และสัดส่วนแรงงานในระบบ 50.5 เปอร์เซ็นต์ เรียนหนังสือไม่เกินชั้นประถม ในจำนวนนี้มี 1.2 ล้านคนที่ไม่มีการศึกษา ในเมื่อแรงงานครึ่งหนึ่งอายุมากและมีการศึกษาน้อย การปรับตัว ยกระดับทักษะให้เป็นแรงงาน 4.0 คงทำได้ยากทีเดียว
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีความเป็นไปได้ที่อำนาจต่อรองของคนงานจะลดลงมาก เพราะการผลิต การค้า และงานบริการ นับวันจะใช้แรงงานคนน้อยลง โดยมีคอมพิวเตอร์และปัญญาประดิษฐ์เข้ามาแทนที่ คนงานที่จะปรับทักษะให้สอดคล้องกับหุ่นยนต์และนวัตกรรมใหม่ๆ ได้ก็คงมีจำนวนน้อย จำนวนคนที่ตกงานน่าจะมีมากขึ้น กลายเป็นสินค้าล้นตลาดที่ราคาตกต่ำลง
ล่าสุด สภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย หรืออีคอนไทย ได้ประเมินว่าน่าจะมีอย่างน้อย 8 อาชีพที่เสี่ยงตกงานเพราะเทคโนโลยี 4.0
อาชีพดังกล่าว ได้แก่ 1. พนักงานขายปลีกหน้าร้าน ในห้าง และพนักงานขายตรง 2. พนักงานโรงแรม 3. พนักงานที่เกี่ยวข้องกับสถาบันการเงิน 4. แรงงานในภาคอุตสาหกรรม 5. แรงงานในภาคโลจิสติกส์ 6. บุรุษพยาบาลดูแลคนสูงวัยหรือผู้ป่วย 7. คนขับรถยนต์และรถบรรทุก และ 8. คนทำงานเคาน์เตอร์เซอร์วิสในภาคธุรกิจต่างๆ
ในบรรดากลุ่มเสี่ยง กลุ่มอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น นับว่าน่าเป็นห่วงมากที่สุด เพราะอุตสาหกรรมดังกล่าวถือครองสัดส่วน 80 เปอร์เซ็นต์ของมูลค่าการส่งออก แต่ส่วนใหญ่ยังอยู่ในยุค 2.0-2.5 ซึ่งในสัดส่วน 80 เปอร์เซ็นต์นี้ มี 25 เปอร์เซ็นต์ที่เปราะบางมาก เพราะการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยี
ในทางตรงกันข้าม ฝ่ายผู้ประกอบการดูเหมือนจะมีความพร้อมมากกว่าในการเข้าสู่ยุค 4.0 ดังจะเห็นจากการที่หอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยยืนยันว่า ปัจจุบันบริษัทขนาดใหญ่มีความพร้อมเข้าสู่ธุรกิจ 4.0 แล้ว
นโยบายของหอการค้าเองก็พร้อมผลักดันให้ผู้ประกอบการที่เป็นสมาชิกประมาณ 1 แสนรายทั่วประเทศเข้าสู่ธุรกิจการค้าและบริการในระดับ 4.0 โดยตั้งเป้าไว้ในแผนงานปี 2560-2561 ว่า จะยกระดับผู้ประกอบการในหอการค้าจำนวน 5 หมื่นรายให้มีศักยภาพสูงขึ้น และสร้างรายได้รวมเพิ่มขึ้น 30 เปอร์เซ็นต์ หรือราวๆ 2-3 หมื่นล้านบาท โดยปัจจุบันจีดีพีจากภาคการค้าและบริการคิดเป็นสัดส่วน 52 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพีประเทศ
ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่าการใช้ทุนข้ามชาติมาช่วยฉุดลากเศรษฐกิจไทยก็ดี ความสับสนอลหม่านเรื่องแรงงานในระยะเปลี่ยนผ่านไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 ก็ดี ล้วนแล้วแต่จะนำกลับมาสู่ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ซึ่งหมายถึงว่าการลดช่องว่างระหว่างรายได้ยังคงเป็นแค่ความฝันระยะไกล
ชนชั้นนำภาครัฐไม่ได้เข้ามากุมอำนาจอย่างเฉื่อยเนือย หรือแค่รักษาผลประโยชน์เดิมๆ ไปวันๆ ตรงกันข้าม พวกเขาเข้ามาเปิดฉากรุกทางการเมืองอย่างเข้มข้น เป็นระบบ ถึงขั้นมี master plan ในการสถาปนาอำนาจนำของตนให้มั่นคงยั่งยืน และอยู่ได้ในยุคโลกาภิวัตน์
แต่ก็อีกนั่นแหละ ผมคิดว่าทางผู้บริหารชุดปัจจุบันก็คงรู้ปัญหาดีอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นรัฐราชการจึงต้องหันมาใช้ระบบสวัสดิการอ่อนๆ และระบบสังคมสงเคราะห์เพื่อลดทอนแรงกดดันจากชนชั้นล่างสุด ในการนี้รัฐบาลปัจจุบันได้เตรียมงบประมาณไว้ถึง 8 หมื่นล้านบาท สำหรับการช่วยเหลือดูแลคนจนที่มาลงทะเบียนไว้ 14 ล้านคน
นอกจากนี้ฝ่ายรัฐก็ไม่ได้อาศัยการลงทุนจากต่างชาติเป็นแรงขับเศรษฐกิจ 4.0 แต่อย่างเดียว หากยังคิดยุทธศาสตร์ที่เรียกว่ากลไกประชารัฐขึ้นมาเป็นเครื่องจักรใหญ่อีกตัวหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย
จุดที่น่าสนใจที่สุดของนโยบายหรือกลไกประชารัฐก็คือ มันไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อการเติบโตของจีดีพีเท่านั้น หากยังมีเป้าหมายลดความเหลื่อมล้ำและกระจายรายได้ไปพร้อมๆ กันตามนโยบายประชารัฐ รัฐราชการเสนอตัวเป็นแกนนำประสานความร่วมมือระหว่างทุนใหญ่กับธุรกิจรายย่อย หรือแม้แต่เกษตรกรในท้องถิ่นต่างๆ ทั้งนี้โดยมีเครือข่ายภาคประชาสังคมเป็นภาคีขับเคลื่อนด้วย
ด้วยเหตุดังนี้ นโยบายประชารัฐจึงมีนัยทางการเมืองสูงมาก เพราะเป็นการจับมือกันระหว่างภาครัฐ ภาคประชาสังคม และภาคธุรกิจเอกชน เคลื่อนไหวลงสู่มวลชนระดับฐานราก ซึ่งทับซ้อนกับฐานเสียงของนักการเมือง ถ้าเรื่องนี้ทำสำเร็จก็อาจจะส่งผลให้การเมืองภาคตัวแทนกลายเป็นโมฆะได้
พูดอีกแบบหนึ่งมันก็คือความพยายามที่จะแปรความขัดแย้งทางชนชั้นที่หลายท่านเกลียดและกลัวมาเป็นความร่วมมือทางชนชั้นภายใต้การนำของรัฐราชการ ดังนั้นกลไกประชารัฐจึงมีกลิ่นอายของ ‘ความรัก ความสามัคคีของคนในชาติ’ อยู่พอสมควร แต่ในอีกด้านหนึ่งก็ทำให้อดไม่ได้ที่จะนึกถึงลัทธิ corporatism กับนิยามเรื่องรัฐของ Hegel
สิ่งที่เราไม่รู้คือนโยบายนี้มุ่งลอยแพตัดตอนนักการเมืองมาตั้งแต่แรก ด้วยการทำให้พวกเขาเป็นคนนอกกระบวนการพัฒนาประเทศ หรือเป็นแค่ผลพลอยได้ของสูตรแก้ปัญหาเศรษฐกิจ แต่ที่แน่ๆ คือในทางนโยบายแล้ว มันถูกออกแบบมาหักล้างและตอบโต้นโยบายประชานิยมโดยตรง
ดังจะเห็นได้จากคำพูดของผู้นำเครือข่ายประชาสังคมท่านหนึ่งซึ่งกล่าวว่า “ประชานิยมคือการเอาเงินของรัฐไปแจกชาวบ้าน นักการเมืองเอาบุญคุณ ชาวบ้านอ่อนแอเรื่อยไป ไม่หายจน ประชารัฐคือการส่งเสริมความเข้มแข็งของประชาชนคนรากหญ้าให้พ้นความยากจน มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี พึ่งตนเองได้ สามารถควบคุมนักการเมือง ทำให้เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง”
แน่นอน เมื่อตัดเรื่องเจตนาออกไปแล้ว คำถามก็ยังคงมีอยู่ว่าการหวังให้กลุ่มทุนใหญ่เป็นผู้ขับเคลื่อนการยกระดับฐานะของธุรกิจเอสเอ็มอีและชนชั้นล่างๆ จะไม่สวนทางกับธรรมชาติของระบบทุนนิยมหรอกหรือ มันเป็นไปได้หรือไม่ที่ปลาใหญ่จะไม่กินปลาเล็ก
มันอาจจะเร็วเกินไปที่จะมีข้อสรุปแบบฟันธงในเรื่องนี้ออกมา แต่ที่น่าสนใจมากก็คือ รัฐธรรมนูญฉบับ 2560 ไม่ได้กำหนดให้ใช้ระบบเศรษฐกิจแบบใด แต่เน้นว่าต้องเป็นระบบที่ประชาชนได้ประโยชน์อย่างทั่วถึงและยั่งยืน อันนี้ต่างจากรัฐธรรมนูญฉบับ 2540 ที่ยืนยันว่าประเทศไทยจะต้องยึดถือในระบบเศรษฐกิจเสรีและอาศัยกลไกตลาดเท่านั้น
เป็นไปได้หรือไม่ว่าการไม่มีบทบัญญัติดังกล่าวอาจจะทำให้รัฐสามารถเข้าไปไกล่เกลี่ยผลประโยชน์ระหว่างทุนใหญ่กับผู้ผลิตรายย่อยได้ง่ายขึ้น และบางทีอาจจะมีผลประโยชน์นอกกลไกตลาดเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
การดูถูกหมิ่นหยามนักการเมืองและพรรคการเมืองนั้นเป็นสิ่งที่ชนชั้นนำภาครัฐแสดงออกอย่างเปิดเผยมาตลอดช่วงหลังรัฐประหาร ทั้งนี้เนื่องจากมันเป็นวาทกรรมหรือฐานคิดที่ใช้ลดฐานะนำของสถาบันประชาธิปไตยอย่างสภาผู้แทนราษฎรและรัฐบาลที่มาจากเลือกตั้ง
ท่านผู้มีเกียรติทั้งหลาย
จากที่ผมกล่าวมาทั้งหมด ทุกท่านคงเห็นแล้วว่า เที่ยวนี้ชนชั้นนำภาครัฐไม่ได้เข้ามากุมอำนาจอย่างเฉื่อยเนือย หรือแค่รักษาผลประโยชน์เดิมๆ ไปวันๆ ตรงกันข้าม พวกเขาเข้ามาเปิดฉากรุกทางการเมืองอย่างเข้มข้น เป็นระบบ ถึงขั้นมี master plan ในการสถาปนาอำนาจนำของตนให้มั่นคงยั่งยืน และอยู่ได้ในยุคโลกาภิวัตน์
พูดอีกแบบหนึ่งคือ 3 ปีที่ผ่านมา สถานการณ์ในเมืองไทยไม่ได้สะท้อนแค่ความขัดแย้งระหว่างชนชั้นนำเก่ากับเครือข่ายการเมืองของนายทุนบางกลุ่มเท่านั้น หากยังสะท้อนความพยายามของชนชั้นนำภาครัฐที่จะสร้างสังคมตามแนวคิดอนุรักษนิยมคู่ขนานไปกับการเกี่ยวร้อยกับทุนนิยมโลก มันเป็นความพยายามที่จะดำรงฐานะนำของรัฐราชการในการบริหารระบบทุนไร้พรมแดน
แต่ประเด็นมีอยู่ว่า อุดมการณ์และวาทกรรมของรัฐชาติที่เป็นแบบรัฐราชการนั้น โดยเนื้อแท้แล้วก็ไปกันไม่ได้ลัทธิเสรีนิยมใหม่ที่ขับเคลื่อนทุนไร้ชาติไร้พรมแดน หรือแม้แต่คอนเทนต์ของเศรษฐกิจ 4.0
ด้วยเหตุดังนี้ สภาพขัดกันเองระหว่างนโยบายเศรษฐกิจที่แลไปข้างหน้า กับนโยบายทางการเมืองและสังคมที่แลไปข้างหลังของรัฐไทยจึงปรากฏให้เห็นอยู่ตลอดเวลา เช่น ความขัดแย้งระหว่างการศึกษาแบบท่องจำศิโรราบ กับเศรษฐกิจที่เน้นนวัตกรรม เป็นต้น
ดังที่ศาสตราจารย์โนม ชอมสกี (Noam Chomsky) ผู้โด่งดังได้ให้สัมภาษณ์สื่อเมื่อไม่นานมานี้ ลัทธิเสรีนิยมใหม่นั้นถือปัจเจกชนเป็นตัวตั้ง และใช้กลไกตลาดกร่อนสลายสังคม ชุมชน ชาติ หรือองค์รวมใดๆ อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องน่าสนใจมากว่า ในขณะที่รัฐราชการของไทยสมาทานลัทธิ neoliberal ซึ่งมีทั้งแนวคิดและการกระทำที่เป็นปรปักษ์กับคอนเซปต์ผลประโยชน์แห่งชาติ รัฐนี้จะยังคงใช้วาทกรรมรัฐชาติกึ่งจารีตขับเคลื่อนสังคมไทยให้หมุนตามศูนย์อำนาจได้แค่ไหน
กระนั้นก็ตาม เมื่อพิจารณาจากภาพรวมแล้ว สิ่งที่ คสช. เสนอนับเป็นความท้าทายครั้งใหญ่ของนักการเมืองและพรรคการเมือง ตลอดจนนักทฤษฎีฝ่ายประชาธิปไตย ซึ่งถ้าพวกเขาไม่เห็นด้วยกับผังอำนาจและแนวทางบริหารประเทศแบบ top down ก็คงต้องมีข้อเสนอแตกต่างในระดับที่แกรนด์พอๆ กัน ไม่ใช่พูดแค่หลักการลอยๆ
ในยุคไทยแลนด์ 4.0 ภาคประชาชนเองก็อาศัยเทคโนโลยีการสื่อสารปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัลเหมือนกัน ในระยะหลังๆ พวกเขาได้ใช้เครือข่ายโซเชียลมีเดียและสื่อออนไลน์ต่างๆ มาสนับสนุนการต่อสู้ของตน ตั้งแต่การปกป้องลำน้ำในหมู่บ้านเล็กๆ ไปจนถึงการคัดค้านโครงการใหญ่ของฝ่ายรัฐและฝ่ายทุน ความก้าวหน้าดังกล่าวทำให้ ‘การเมืองข้างถนน’ กลายเป็น ‘การเมืองคีย์บอร์ด’ มากขึ้นเรื่อยๆ
เรียนตรงๆ ถ้าพรรคการเมืองใดคิดอะไรไม่ได้มากไปกว่าชนชั้นนำภาครัฐ หรือไม่กล้าแตะต้องลัทธิเสรีนิยมใหม่ หรือไม่กล้าคิดต่างในเรื่องใหญ่ๆ ก็ป่วยการจะมีพรรคเหล่านั้น เพราะพวกเขาจะกลายเป็นแค่กลุ่มแสวงหาอำนาจ และเป็นแค่ส่วนตกแต่งของพลังอำนาจที่ขับเคลื่อนรัฐราชการและควบคุมสังคมไทยอยู่แล้ว
แต่ก็อีกนั่นแหละ เรื่องนี้มีความเป็นไปได้อยู่ไม่น้อย เพราะพรรคการเมืองและนักการเมืองรุ่นเก่าจำนวนหนึ่งล้วนเติบโตมาจากช่วงระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบภายใต้รัฐธรรมนูญ 2521 ดังนั้นจึงคุ้นเคยกับการร่วมมือกับชนชั้นนำภาครัฐในการจัดตั้งรัฐบาลที่มีนายกฯ คนนอก
ดังนั้นฉากหนึ่งที่อาจจะเกิดขึ้นคือพรรคการเมืองจำนวนหนึ่งผนึกกำลังกันหนุนผู้นำจากกองทัพ ทั้งเพื่อกีดกันพรรคที่เคยชนะพวกเขาในการเลือกตั้งหลายครั้งหลัง และชิงส่วนแบ่งทางอำนาจมาไว้กับตน แม้จะต้องเล่นบทพระรองก็ตาม
การดูถูกหมิ่นหยามนักการเมืองและพรรคการเมืองนั้นเป็นสิ่งที่ชนชั้นนำภาครัฐแสดงออกอย่างเปิดเผยมาตลอดช่วงหลังรัฐประหาร ทั้งนี้เนื่องจากมันเป็นวาทกรรมหรือฐานคิดที่ใช้ลดฐานะนำของสถาบันประชาธิปไตยอย่างสภาผู้แทนราษฎรและรัฐบาลที่มาจากเลือกตั้ง
3 ปีที่ผ่านมา คณะรัฐประหารและมวลชนที่สนับสนุนมักจะใช้วาทกรรมต่อต้านคอร์รัปชันพุ่งเป้าใส่นักการเมือง ซึ่งตอนแรกก็อาจจะหมายถึงพรรครัฐบาลที่ถูกโค่น แต่ต่อมากลับออกไปในทางเหมารวมนักการเมืองทั้งหมด ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วข้าราชการ พ่อค้า และนักธุรกิจต่างหากที่เป็นต้นแบบของระบบทุจริตในประเทศไทย และการคอร์รัปชันก็ไม่ได้หายไปไหนในช่วงการปกครองแบบอำนาจนิยม
จากการประกาศค่าดัชนีชี้วัดภาพลักษณ์คอร์รัปชัน โดยองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International) เมื่อต้นปี 2560 ประเทศไทยถูกระบุว่า ได้คะแนนเพียง 35 จาก 100 ซึ่งทำให้อยู่ในอันดับที่ 101 จาก 176 ประเทศ คะแนนดังกล่าวนับว่าต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยทั่วโลก ซึ่งอยู่ที่ 43 คะแนน ก่อนหน้านี้ในปี 2557 ประเทศไทยเคยได้คะแนน 38 และอยู่ในอันดับที่ 85 ส่วนปี 2558 ขึ้นมาเป็นอันดับที่ 76 แต่คะแนนยังคงอยู่ที่ 38 เหมือนเดิม สาเหตุหนึ่งที่ทำให้คะแนนลดลงในการประเมินครั้งล่าสุดก็เพราะมีการนำข้อมูลความเป็นประชาธิปไตยเข้ามาประกอบการพิจารณาด้วย
อย่างไรก็ดี ชเรื่องคอร์รัปชันนี้ยังคงเป็นประเด็นการเมืองที่มีนัยสำคัญในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของประเทศไทย ดังจะเห็นได้จากคำถาม 4 ข้อเรื่องธรรมาภิบาล ซึ่งฝ่ายรัฐตั้งขึ้นและรณรงค์ให้ประชาชนช่วยกันตอบ
ใช่หรือไม่ว่าคำถามเหล่านั้น แท้จริงแล้วคือการเปิดฉากรุกทางการเมืองต่อบรรดานักการเมืองอีกระลอกหนึ่ง โดยผู้กุมอำนาจปัจจุบันช่วงชิงเป็นฝ่ายกระทำก่อนการเลือกตั้งจะเกิดขึ้น
แต่อย่าเข้าใจผิด ทั้งหมดนี้ไม่ได้เป็นแค่ความเคลื่อนไหวในระดับบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่หลายท่านอาจมองว่าต้องการสืบทอดอำนาจ หากเป็นการต่อสู้ในระดับชิงระบอบของ State Elites ที่ต้องการสถาปนาความชอบธรรมของตน และลดทอนความชอบธรรมของคู่แข่ง
ซึ่งถ้าเรามองในระดับนี้ก็จะพบว่า ฝ่ายชนชั้นนำเก่ามีสำนึกและมียุทธศาสตร์ในการต่อสู้มากกว่านักการเมืองหรือพรรคการเมือง ซึ่งมักมุ่งหวังชัยชนะในระดับที่แคบกว่ากันมาก คือแค่ชัยชนะของบุคคลหรือพรรคของตนเท่านั้น
อันที่จริง ประเด็นธรรมาภิบาลตามความหมายสากลไม่ได้เป็นแค่เรื่องศีลธรรม จริยธรรม หรือเรื่องคนดี-คนเลวแบบฉาบฉวย หากเป็นกระบวนการบริหารจัดการที่นำไปสู่ประสิทธิภาพที่สะอาดและปราศจากข้อกังขา กระบวนการดังกล่าวประกอบด้วยหลักนิติธรรม หลักความโปร่งใส หลักกระจายอำนาจ หลักการมีส่วนร่วม และหลักฉันทามติ เป็นสำคัญ
ดังนั้นถ้ากล่าวในเชิงคอนเซปต์ล้วนๆ ระบอบประชาธิปไตยย่อมสร้างรัฐบาลที่มีธรรมาภิบาลได้ง่ายกว่าระบอบอำนาจนิยมอยู่แล้ว
ผมเห็นว่าปัญญาชนจำนวนมากแทบจะไม่พยายามเข้าไปเกี่ยวร้อยกับทุกข์ร้อนรูปธรรมของประชาชนหมู่เหล่าต่างๆ เลย ด้วยเหตุดังนี้ พวกเขาจึงยังไม่สามารถทำให้ความเห็นของตน matter ในสังคมไทย ศักยภาพทางการเมืองของพวกเขายังคงเป็นแค่ศักยภาพที่ซ่อนอยู่ในโลกเสมือนจริง แต่ยังไม่ใช่พลังในโลกแห่งความจริง
อย่างไรก็ดี ไม่ทราบเป็นเพราะมีแผลกันอยู่บ้างหรือมีเหตุผลใด บรรดานักการเมืองจึงไม่ได้ออกมาโต้แย้งในเรื่องนี้อย่างจริงจัง จะมีท้วงติงบ้างก็แค่เป็นรายบุคคล
ในสายตาของผม โอกาสเดียวที่พรรคการเมืองจะต่อรองกับพรรคราชการได้คือต้องร่วมมือกันเองอย่างเหนียวแน่น และตอบคำท้าของชนชั้นนำภาครัฐในทุกประเด็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะต้องตอบคำท้าใหญ่ด้วยยุทธศาสตร์การพัฒนาและการปฏิรูปตามครรลองประชาธิปไตยที่พิสูจน์ได้ว่าเหนือกว่า ดีกว่า เป็นจริง และเป็นธรรมมากกว่า
ดังนั้นการเมืองในยุคไทยแลนด์ 4.0 จึงมีแนวโน้มที่จะไปได้ทั้งสองทาง คือทางแรก นักการเมืองเล่นบทหางเครื่อง คอยผัดหน้าทาแป้งให้กับชนชั้นนำภาครัฐที่จะกุมอำนาจต่อในฐานะรัฐบาลประชาธิปไตย กลายเป็นการเมืองแบบที่ท่านอาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ เรียกว่าระบอบ ‘เกี้ยเซี้ย’ หรือ ‘เกี้ยซิยาธิปไตย’
ทางที่สอง พรรคการเมืองส่วนใหญ่ผนึกกำลังกันทำหน้าที่ฝ่ายค้านที่สร้างสรรค์ โดยมีข้อเสนอแนะหรือข้อโต้แย้งเชิงนโยบายที่แตกต่างจากแนวคิดของฝ่ายอนุรักษนิยม อันนี้ถ้าเกิดขึ้นจริงก็จะเป็นปรากฏการณ์ที่เร้าใจยิ่ง และเป็นการสมทบส่วนที่สำคัญให้กับพัฒนาการทางการเมืองในประเทศของเรา
กล่าวสำหรับภาคประชาชนโดยทั่วไป ฐานะของพวกเขาจะเป็นเช่นใดภายใต้เงื่อนไขไทยแลนด์ 4.0 และกลไกประชารัฐ ตลอดจนบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญปัจจุบัน?
อันดับแรก ถ้าพูดเฉพาะเรื่องเลือกตั้ง เสียงของพวกเขาคงจะมีน้ำหนักลดลง ทั้งนี้เพราะระบบเลือกตั้งใหม่และอำนาจของวุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้งจะทำให้ไม่มีพรรคการเมืองไหนตั้งรัฐบาลได้โดยพรรคเดียว และเมื่อเป็นเช่นนั้น ทางเลือกในระดับนโยบายของผู้ลงคะแนนเลือกตั้งก็ดูจะหายไปด้วย
จะว่าไป แม้แต่ในเรื่องนี้ ชนชั้นนำภาครัฐและมวลชนห้อมล้อมก็ได้ขับเคลื่อนวาทกรรมดักหน้าไว้แล้วว่า การเลือกตั้งไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดในระบอบประชาธิปไตย วาทกรรมดังกล่าวใช้ประโยชน์ได้ถึงสองทาง ด้านหนึ่งคือลดทอนเครดิตของการเมืองแบบเลือกตั้ง ขณะเดียวกันก็คล้ายว่าจะหันเหความสนใจของประชาชนจากประเด็นที่เสียงของพวกเขามีน้ำหนักน้อยลง
กระนั้นก็ตาม ที่ผ่านมาเสียงของประชาชนเคยมีน้ำหนักมากในการจัดตั้งรัฐบาลและเลือกนโยบายที่พวกเขาพอใจ คนเหล่านี้ถูกทำให้เงียบสนิทมาตลอดระยะเวลา 3 ปี ถึงวันนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ชัดว่าพวกเขาคิดอย่างไร และจะแสดงออกทางการเมืองแบบไหนเมื่อมีการเลือกตั้งครั้งต่อไป
ทุกท่านคงนึกออกว่า ในอดีตชาวนาไทยเคยเจอสภาพที่ถูกทอดทิ้งให้จมปลักอยู่กับความเสียเปรียบ และไม่ถูกนับในทางการเมืองอยู่เป็นเวลานาน ด้วยเหตุนี้ เมื่อพรรคการเมืองหนึ่งเข้ามาเสนอแนวทางประชานิยมหนุนช่วยพวกเขาในเรื่องหนี้สินและราคาผลผลิต บรรดาเกษตรกรจึงหันมาสนับสนุนพรรคนี้อย่างท่วมท้น และกลายเป็นพวกที่ตื่นตัวทางการเมืองแบบฉับพลัน
ก็น่าสนใจว่าเมื่อแนวทางประชานิยมถูกปิดกั้น ชะตากรรมของพวกเขาจะเป็นเช่นใด
ก่อนหน้ารัฐประหาร 2557 แวดวงวิชาการเคยพูดถึงประเด็นการเกิดขึ้นของคนชั้นกลางใหม่ในต่างจังหวัด ซึ่งส่วนใหญ่แล้วคือเกษตรกรรายย่อย ปัจจุบันคนชั้นนี้คือเป้าหมายหลักที่นโยบายประชารัฐต้องการช่วงชิงมาเป็นภาคี ดังนั้นจึงน่าสนใจมากว่าจากนี้ไป กลไกของฝ่ายอนุรักษ์จะสลายความเจ็บช้ำน้ำใจของชาวนาเสื้อแดงได้หรือไม่ และในการเลือกตั้งครั้งหน้า ฐานมวลชนกลุ่มนี้จะย้ายค่ายหรือไม่
อันดับต่อมา พ้นจากการเมืองภาคตัวแทนและการเลือกตั้งแล้ว การเมืองภาคประชาชนจะมีสภาพเป็นเช่นใดภายใต้กฎกติกาการเมืองชุดล่าสุด พื้นที่สำหรับการเมืองภาคประชาชนยังมีเหลือ หรือมีเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหน
เรื่องนี้ถ้าพูดกันตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแล้ว เราอาจจะมองโลกในแง่ดีได้ เพราะรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 ยังคงยืนยันเรื่องสิทธิเสรีภาพของประชาชนในด้านต่างๆ ไว้โดยละเอียด ในหมวด 3 ตั้งแต่มาตรา 25 ถึงมาตรา 49 อีกทั้งยังมีมาตรา 77 ซึ่งกำหนดให้รัฐต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นผู้ที่เกี่ยวข้องในการตรากฎหมายแต่ละฉบับ และมาตรา 133 ที่เปิดโอกาสให้ประชาชนลงชื่อกันไม่น้อยกว่าหนึ่งหมื่นคนเพื่อเสนอร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสิทธิเสรีภาพได้
อย่างไรก็ตาม คำมั่นสัญญาในรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 เรื่องความเสมอภาค ความเป็นธรรม หรือสิทธิเสรีภาพของประชาชนนั้นดูจะมีเงื่อนไขมากเหลือเกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เงื่อนไขในด้านความมั่นคง ความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีงาม ซึ่งเอื้อต่อการตีความแบบครอบจักรวาล ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่าทุกอย่างต้องอยู่ภายใต้กรอบที่กฎหมายเล็กกฎหมายน้อยกำหนดไว้ กฎหมายในเมืองไทยมีถึงกว่า 1 แสนฉบับ ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่ามีกี่ฉบับที่ลดทอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน
นอกจากนี้แล้ว สิทธิเสรีภาพของชาวบ้านย่อมขัดแย้งกันในระดับประสานงากับความเป็นจริงทางเศรษฐกิจและสังคมในประเทศไทย ซึ่งสรุปได้ด้วย 2 คำคือ เหลื่อมล้ำ และอยุติธรรม
ดังนั้น ลำพังมีกฎหมายคุ้มครองก็ไม่ได้หมายความว่าช่องว่างตรงนี้จะหดแคบลงโดยพลัน เรามีตัวอย่างมากมายที่สิทธิชุมชนถูกละเมิดโดยทุนใหญ่ หรือไม่ก็โครงการของรัฐเอง อีกทั้งตัวบุคคลที่เป็นผู้นำชาวบ้านจำนวนไม่น้อยก็สูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย
มีแต่การมอบตัวให้กับความจริงเท่านั้น เราจึงจะสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ตรงตามเงื่อนไขเหตุปัจจัยที่ทำให้มันเกิดขึ้น
พูดอย่างถึงสุดแล้ว ถ้าเราเข้าใจว่าการเมืองภาคประชาชนนั้นมักจะเป็นเรื่องปากท้องและฐานทรัพยากรของชุมชน เราก็คงมองเห็นว่านโยบายสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษก็ดี นโยบายไทยแลนด์ 4.0 สามารถนำไปสู่ความขัดแย้งที่ยืดเยื้อเรื้อรังได้ อย่างเช่น ในกรณีท่าเรือน้ำลึกที่ปากบารา ปัญหาที่ดินทำกินที่แม่สอด และกรณีโรงไฟฟ้าถ่านหินที่จังหวัดกระบี่ เป็นต้น
แม้ว่านโยบายประชารัฐโดยกองทุนหมู่บ้านจะมีโครงการเปิดร้านค้าชุมชนถึง 2 หมื่นแห่ง และตลาดประชารัฐอีกราว 1,300 แห่ง แต่ถ้าท้องถิ่นยังคงเต็มไปด้วยปัญหาที่ดินทำกินและปัญหาถูกรุกล้ำฐานทรัพยากร การพัฒนาเศรษฐกิจรากหญ้าในแนวนี้ก็คงไม่สงบราบรื่นเท่าใด
แน่นอน ในยุคไทยแลนด์ 4.0 ภาคประชาชนเองก็อาศัยเทคโนโลยีการสื่อสารปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัลเหมือนกัน ในระยะหลังๆ พวกเขาได้ใช้เครือข่ายโซเชียลมีเดีย และสื่อออนไลน์ต่างๆ มาสนับสนุนการต่อสู้ของตน ตั้งแต่การปกป้องลำน้ำในหมู่บ้านเล็กๆ ไปจนถึงการคัดค้านโครงการใหญ่ของฝ่ายรัฐและฝ่ายทุน ความก้าวหน้าดังกล่าวทำให้ ‘การเมืองข้างถนน’ กลายเป็น ‘การเมืองคีย์บอร์ด’ มากขึ้นเรื่อยๆ
บางทีอาจจะเพราะเหตุนี้ บวกกับสภาพการชุมนุมล้นเกินก่อนเดือนพฤษภาคม 2557 ตลอดจนความรู้สึก insecure อ่อนไหวในเรื่องอุดมการณ์ของรัฐ ชนชั้นนำที่กุมอำนาจจึงต้องการจำกัดขอบเขตของประชาธิปไตยทางตรงไปพร้อมๆ กับประชาธิปไตยแบบตัวแทน
กล่าวคือ นอกจากกลไกควบคุมนักการเมืองตามรัฐธรรมนูญใหม่แล้ว ยังมีกลไกอีกหลายอย่างที่รัฐราชการใช้ควบคุมการเคลื่อนไหวทางการเมืองของภาคประชาชน เช่น พ.ร.บ. การชุมนุมสาธารณะ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ยังไม่ต้องเอ่ยถึงร่าง พ.ร.บ. ความมั่นคงไซเบอร์ กับร่าง พ.ร.บ. คุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรม และมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน ที่ฝ่ายรัฐกำลังผลักดันอยู่
อันนี้ไม่ทราบจะตรงกับที่นักวิชาการบางท่านเรียกว่าเป็นสภาวะ Deep State หรือ ‘รัฐพันลึก’ ได้หรือไม่ กล่าวคือจะมีการเลือกตั้งหรือมีรูปแบบภายนอกที่เป็นประชาธิปไตยก็มีไป แต่เบื้องลึกแล้วรัฐยังคงควบคุมสังคมโดยผ่านสารพัดกลไก
ต่อไป กลุ่มสุดท้ายที่ผมอยากจะเอ่ยถึงด้วยความเกรงใจคือปัญญาชนและนักวิชาการ ชนกลุ่มนี้มีศักยภาพทางการเมืองสูงมาตั้งแต่สมัยโบราณ เพียงแต่วิวัฒน์จากนักปราชญ์ราชบัณฑิต ปุโรหิต สมณะ มาเป็นผศ. รศ. คอลัมนิสต์ หรือนักวิชาการอิสระเท่านั้นเอง
เท่าที่ผมสังเกตเห็น ซึ่งอาจจะเป็นการมองผิดไปก็ได้ ผมรู้สึกว่าปัญญาชนที่ถือตนว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตยนั้นไม่ค่อยคอนเน็กต์กับการเคลื่อนไหวของภาคประชาชนเท่าใด ส่วนใหญ่พอใจอยู่กับการออกความเห็นในเฟซบุ๊ก กระทั่งบางส่วนออกจะรังเกียจการเมืองภาคประชาชน โดยเห็นว่าแกนนำบางคนเคยต่อต้านรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
สำหรับเรื่องนี้ ผมเองค่อนข้างรู้สึกประหลาดใจ ทั้งนี้เพราะสมัยทศวรรษ 1960 และทศวรรษ 1970 บรรดานักศึกษา ปัญญาชน และนักวิชาการ พากันเข้าหาประชาชนจนไม่เป็นอันอยู่ในห้องเรียน ครั้นเติบโตมีประสบการณ์มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประสบการณ์ในการพ่ายแพ้ ก็ได้เรียนรู้เพิ่มเติมว่าดุลกำลังเปรียบเทียบทางการเมืองนั้นเลื่อนไหลแปรเปลี่ยนไปมาอยู่ตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับว่าสังคมกำลังมีปัญหาอะไร ใครก็ตามที่ไม่รู้จักเกี่ยวร้อยกับพลังที่เป็นคุณในแต่ละช่วงสถานการณ์ ผู้นั้นย่อมโดดเดี่ยวอย่างแน่นอน
การเมืองเป็นเรื่องของฉันทามติ นักเคลื่อนไหวทางการเมืองจึงต้องหาทางเอา 10 สู้ 1 เสมอ เพื่อให้คนส่วนใหญ่อยู่ข้างเดียวกับตน ไม่ใช่เอา 1 สู้ 10 แล้วนั่งภูมิใจอยู่ท่ามกลางความพ่ายแพ้
แต่ก็อีกนั่นแหละ ผมสงสัยว่าปัญญาชนรุ่นลูกรุ่นหลานคงไม่ได้คิดอะไรในแนวนี้อีกแล้ว และสำหรับหลายคน เสรีภาพในการแสดงความเห็น ซึ่งอาจจะเป็นความคิดก็ได้ หรือโดยไร้ความคิดก็ได้ นับเป็นจุดหมายสูงสุดในตัวของมันเอง
มันเป็นไปได้หรือไม่ว่าลัทธิ neoliberal นั้นซึมลึกเข้ามาอยู่ในสังคมไทยมากกว่าที่เราคิด แม้แต่ในหมู่ปัญญาชนที่ถือตนว่าหัวก้าวหน้า หรือปัญญาชนประชาธิปไตย แนวคิดเรื่องปัจเจกชนนิยมสุดขั้วยังเข้ามาครอบงำอย่างหนาแน่น
ระบบเฟซบุ๊กก่อให้เกิดสภาพหนึ่งคน หนึ่งสำนัก และเมื่อเกิดหลายสำนัก สิ่งที่หายไปคือสำนึก โดยเฉพาะสำนึกเรื่ององค์รวม หลายท่านให้ความสำคัญกับเสรีภาพส่วนตัวในการแสดงความคิดเห็นมากกว่าการผนึกกำลังกันเป็นกลุ่มก้อนขบวนการ บางท่านใช้เวลาไปในการวิพากษ์ โต้แย้ง หรือเสียดสี ตรวจสอบคุณสมบัติของปัญญาชนด้วยกัน มากกว่าจะสร้างขบวนทางปัญญาที่มีพลัง
และถ้าจะให้พูดตรงๆ ยกเว้นนักวิชาการอาวุโสที่เป็นผู้นำทางความคิดกับนักศึกษากลุ่มเล็กๆ ในท้องถิ่นแล้ว ผมเห็นว่าปัญญาชนจำนวนมากเกินไปแทบจะไม่พยายามเข้าไปเกี่ยวร้อยกับทุกข์ร้อนรูปธรรมของประชาชนหมู่เหล่าต่างๆ เลย
ด้วยเหตุดังนี้ พวกเขาจึงยังไม่สามารถทำให้ความเห็นของตน matter ในสังคมไทย ศักยภาพทางการเมืองของพวกเขายังคงเป็นแค่ศักยภาพที่ซ่อนอยู่ในโลกเสมือนจริง แต่ยังไม่ใช่พลังในโลกแห่งความจริง
ในวันนี้ชนชั้นนำภาครัฐได้กลับมาสถาปนาอำนาจนำของตน และฟื้นบทบาทของรัฐราชการในยุคโลกาภิวัตน์ได้สำเร็จ แต่สภาพดังกล่าวจะยั่งยืนแค่ไหน คงไม่มีใครตอบได้อย่างมั่นใจ
ท่านผู้มีเกียรติทั้งหลายครับ
ผมหวังว่าสิ่งที่พูดมาทั้งหมดนี้คงจะไม่ใช่การมองโลกเชิงลบมากเกินไป ผมเพียงแต่ชวนท่านมามองความเป็นจริงโดยไม่หลบตา เพราะมีแต่มอบตัวให้กับความจริงเท่านั้น เราจึงจะสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ตรงตามเงื่อนไขและเหตุปัจจัยที่ทำให้มันเกิดขึ้น
เนื่องจากได้รับเชิญมาพูดในงานของศูนย์วิจัย ดิเรก ชัยนาม ผมก็ได้แต่หวังว่าแง่คิดที่นำมาเสนอจะมีส่วนจุดประเด็นให้ท่านไปทำวิจัยต่อได้บ้างไม่มากก็น้อย สถานการณ์ที่เรากำลังเผชิญอยู่ยังขาดองค์ความรู้มาประกอบการพิจารณาเป็นอย่างมาก ส่วนตัวผมเองก็ทำได้แค่ตั้งข้อสังเกตผ่านสายตาชายชรา
นับจากพ.ศ. 2475 มาถึงวันนี้ เราคงต้องยอมรับว่าเส้นทางวิวัฒนาการทางการเมืองของไทยไม่ใช่เส้นตรง หากยักเยื้องแบบ dialectical หรือเป็นลักษณะวิภาษ หลายปีที่ผ่านมา การเมืองการปกครองไทยแปรเปลี่ยนไปตามความขัดแย้งระหว่างพลังอำนาจนิยมกับพลังประชาธิปไตย ซึ่งด้านหลักเป็นความขัดแย้งระหว่างชนชั้นนำเก่าจากภาครัฐ กับชนชั้นนำใหม่จากนอกระบบราชการ ทั้งนี้โดยมีประชาชนหลายชนชั้นเป็นตัวแปรสำคัญ
แต่ในกระบวนการคลี่คลายของความขัดแย้งทุกรอบก็ยังมีความขัดแย้งอื่นๆ เข้ามาแทรก เช่น ความขัดแย้งระหว่างพรรครัฐบาลกับพรรคฝ่ายค้าน ความขัดแย้งระหว่างคนชั้นกลางเก่ากับคนชั้นกลางใหม่ หรือความขัดแย้งระหว่างนายทุนกับคนงาน ความขัดแย้งระหว่างชาวชนบทกับคนเมืองหลวง กระทั่งความขัดแย้งในหมู่ชนชั้นปกครองและในหมู่ประชาชนด้วยกัน
ความขัดแย้งที่ทาบซ้อนกันเหล่านี้เป็นแหล่งที่มาของการจัดกำลังเผชิญหน้ากันในยามที่สถานการณ์ดำเนินมาถึงช่วงวิกฤติ ซึ่งฝ่ายไหนมีดุลกำลังเปรียบเทียบที่เหนือกว่า และมีแนวทางการต่อสู้ที่สอดคล้องกับความเป็นจริงเฉพาะหน้ามากกว่า ฝ่ายนั้นก็ชนะไป
ปัญหาใหญ่ของบ้านเราคือมักตกค้างอยู่ในภาวะ antithesis นานเกินไปจนหา synthesis ไม่เจอ
ในวันนี้ ชนชั้นนำภาครัฐได้กลับมาสถาปนาอำนาจนำของตน และฟื้นบทบาทของรัฐราชการในยุคโลกาภิวัตน์ได้สำเร็จ แต่สภาพดังกล่าวจะยั่งยืนแค่ไหน คงไม่มีใครตอบได้อย่างมั่นใจ
การที่รัฐธรรมนูญ 2560 จัดผังอำนาจโดยขยายบทบาทของข้าราชการทั้งทหารและพลเรือนไว้มาก อันนี้เท่ากับนำระบบราชการเข้ามาซ้อนทับและครอบงำปริมณฑลทางการเมือง ซึ่งในด้านหนึ่งนับเป็นการลดทอนบทบาทของประชาชนในกระบวนการคัดสรรและควบคุมผู้กุมอำนาจ แต่ในอีกด้านหนึ่งย่อมจะทำให้ภาคราชการมีการเมืองมากขึ้น ข้าราชการระดับสูงกลายเป็นนักการเมืองไปโดยปริยาย ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่าระบบวุฒิสภาแต่งตั้งจะยิ่งทำให้นักการเมืองนอกระบบผุดขึ้นเต็มไปหมด
แน่นอน ที่ไหนมีการเมือง ที่นั่นก็มีการแข่งขันชิงอำนาจ ที่นั่นก็มีความขัดแย้ง และความขัดแย้งในหมู่ผู้ปกครองก็เคยนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองมาหลายครั้ง
ผมรบกวนเวลาของท่านทั้งหลายมามากแล้ว ขอขอบคุณที่ให้เกียรติรับฟัง
บทความนี้ เป็นปาฐกถาของ ดร.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ที่กล่าวในงานเสวนา ‘Direk’s Talk ทิศทางการเมืองโลก ทิศทางการเมืองไทย และนโยบายสาธารณะ’ จัดโดยศูนย์วิจัย ดิเรก ชัยนาม คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์