ชีวิตคนเราเปลี่ยนแปลงได้ในแบบที่บางครั้งเราก็คาดไม่ถึง เช่นเดียวกับทีมนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ที่โชคชะตาเปลี่ยนผันได้แบบสุดเหลือเชื่อ
ภาพของแฟนฟุตบอล ‘ทูน อาร์มี’ ที่เดินทางลงใต้ไปลอนดอนที่อยู่ในอารมณ์เร่าร้อนถึงขั้นถอดเสื้อเชียร์กันอย่างบ้าคลั่งทั้งๆ ที่สภาพอากาศหนาวเหน็บ เพื่อปลุกเร้าทีมในช่วงท้ายเกมที่เอมิเรตส์สเตเดียมเมื่อคืนที่ผ่านมา ก่อนที่ทีมของ เอ็ดดี ฮาว จะบุกไปยันเสมอจ่าฝูงและเต็งแชมป์อย่างอาร์เซนอลได้นั้น เป็นภาพที่สะท้อนอะไรหลายอย่างได้เป็นอย่างดี
แฟนบอลกลุ่มเดียวกันนี้เคยหมดอาลัยตายอยากไปกับชะตากรรมของทีมภายใต้การปกครองของ ไมค์ แอชลีย์ เจ้าของสโมสรฟุตบอลที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ และผู้จัดการทีมอย่าง สตีฟ บรูซ ที่ทำทีมเล่นได้แบบน่าสงสารในความรู้สึกของทั้งชาวจอร์ดีและจากสายตาของคนนอกเองก็ตาม
แต่ตอนนี้พวกเขากลับมาเป็นทีมที่เล่นได้อย่างยอดเยี่ยม มีแนวทางการเล่นที่ชัดเจน ยืดหยุ่น แข็งแกร่ง และอันตราย ที่สำคัญคือเล่นได้ใจแฟนฟุตบอลชาวจอร์ดีผู้มีแพสชันในเกมลูกหนังรุนแรงที่สุดเมืองหนึ่งของอังกฤษ
ในปี 2022 นิวคาสเซิลลงสนามทั้งสิ้น 35 นัดในเกมระดับสูงสุด เก็บชัยชนะได้ถึง 21 นัด เสมอ 8 และแพ้แค่ 6 คิดเป็นผลงานแล้วอยู่ในอันดับที่ 4 ของพรีเมียร์ลีก
และการเสมอกับอาร์เซนอลที่ถึงกับมีเสียอาการ โดยเฉพาะ มิเกล อาร์เตตา ที่เดือดดาลเป็นพิเศษกับผู้ตัดสินเมื่อคืนนี้ คือการส่งสัญญาณว่าพวกเขาไม่ได้มาเล่นๆ
เพียงแต่พวกเขามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร?
เอ็ดดี ฮาว คือตัวเลือกที่ถูกต้องสำหรับนิวคาสเซิล
เลือก ‘หัว’ ให้ถูก
กลับไปในวันที่กลุ่มทุนจากซาอุดีอาระเบีย Public Investment Fund (PIF) เข้ามาเทกโอเวอร์สโมสรต่อจาก ไมค์ แอชลีย์ เป็นจำนวนหุ้น 80% (อีก 20% เป็นของ RB Sports & Media และ PCP Capital Partners) พวกเขาถูกมองว่าจะเป็นทีมมหาเศรษฐีน้ำมันที่เข้ามาใช้จ่ายอย่างไม่บันยะบันยังอีกทีมในพรีเมียร์ลีก
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือการรอที่จะเลือก ‘หัว’ ที่มีความถูกต้องและเหมาะสมกับแนวทางของทีมก่อน ซึ่ง PIF และ อแมนดา สเตฟลีย์ หนึ่งในตัวแทนผู้บริหารที่รับบทในการดูแลงานของสโมสรในช่วงแรก ตัดสินใจเลือกโค้ชคนรุ่นใหม่อย่าง เอ็ดดี ฮาว มาเป็นคนวางแนวทางของทีม
ชื่อเสียงของฮาวในวงการฟุตบอลอังกฤษถือว่าเป็นหนึ่งในโค้ชรุ่นใหม่ฝีมือดีที่มีแนวทางการทำทีมที่น่าสนใจ เป็นโค้ชสมัยใหม่ที่ใส่ใจในรายละเอียดทุกจุด และพิสูจน์มาแล้วกับการนำบอร์นมัธขึ้นชั้นจากลีกวัน หรือระดับดิวิชัน 3 มาสู่พรีเมียร์ลีก และยืนหยัดได้หลายฤดูกาล
เพียงแต่ด้วยองค์ประกอบทีมไม่อำนวย ทำให้สุดท้ายบอร์นมัธต้องกระเด็นตกชั้นจากพรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2019/20 จนทำให้ต้องแยกทางจากทีมในที่สุด และไม่ได้ตกลงรับงานคุมทีมใดอีก
การเลือกฮาวมาคุมทีมจึงเป็นตัวเลือกที่เป็นการวัดดวงไม่น้อยสำหรับทีมที่ต้องการเริ่มต้นใหม่อย่างนิวคาสเซิล แต่กุนซือคนหนุ่มก็พิสูจน์ฝีมือให้เห็นด้วยการค่อยๆ ประกอบร่าง วางรากฐานของทีมใหม่ และซื้อใจผู้เล่น เรียกว่าทำทุกอย่างในสิ่งที่ผู้จัดการทีมดีๆ สักคนพึงกระทำ
นอกจากฮาวแล้ว ทีมผู้บริหารนิวคาสเซิลยังทำในสิ่งที่ถูกต้องคือ การหา Director ที่เก่งพอที่จะสามารถกำหนดทิศทางของสโมสรได้เหมือน ซิกิ เบกิริสไตน์ ทำกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ หรือ ไมเคิล เอ็ดเวิร์ดส์ ปูทางให้ลิเวอร์พูล
พวกเขาได้ แดน แอชเวิร์ธ ผู้อำนวยการสโมสรที่ทำให้ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบียน กลายเป็นสโมสรที่บริหารจัดการได้ดีที่สุดทีมหนึ่งของฟุตบอลอังกฤษ และนำไปสู่การเดินหน้าอย่างถูกทิศทางที่ทำให้ทุกอย่างดีขึ้นอย่างรวดเร็ว
คีแรน ทริปเปียร์ คือการเริ่มต้นการสร้างทีมยุคใหม่
เปย์แบบสมาร์ทๆ
ด้วยการสนับสนุนทางการเงินของเจ้าของใหม่อย่าง PIF นิวคาสเซิลเหมือนหนูตกถังข้าวสารที่สามารถจ่ายเงินได้ไม่อั้นตราบเท่าที่กฎการเงิน Financial Fair Play ยังเปิดช่อง ซึ่งต้องบอกว่า PIF ‘เปย์’ จริงแต่เป็นการเปย์ที่ ‘สมาร์ท’
นักเตะ 4 คนแรกที่นิวคาสเซิลยุคใหม่ซื้อเข้ามาไม่ได้เป็นสตาร์กองหน้าบ้าบอจากที่ไหน แต่กลับเป็น คีแรน ทริปเปียร์ แบ็กขวาจากแอตเลติโก มาดริด, คริส วูด กองหน้าตัวเป้าจากเบิร์นลีย์, บรูโน กิมาไรส์ กองกลางจากโอลิมปิก ลียง และ แดน เบิร์น กองหลังจากไบรท์ตัน
สนนราคารวมกันของ 4 คนนี้อยู่ที่ 40 ล้านปอนด์ รวมกับการขอยืม แมตต์ ทาร์เก็ตต์ มาจากแอสตัน วิลลา ซึ่งทั้งหมดเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าอย่างยิ่ง เพราะเป็นการซื้อมาเพื่อ ‘อุด’ ปัญหาที่มี โดยเฉพาะเกมรับและแดนกลางที่อ่อนแอ ทำให้นิวคาสเซิลกลายเป็นทีมที่เริ่มเสียประตูยากและแพ้ยาก
คนที่มีส่วนสำคัญอย่างมากคือทริปเปียร์ แบ็กขวาวัย 31 ปีที่แม้อายุจะมากแต่ยังเล่นได้อย่างยอดเยี่ยม ทำให้เกมของนิวคาสเซิลลงตัวทั้งรุกและรับ ในขณะที่ บรูโน กิมาไรส์ คือการซื้อที่คุ้มค่าเช่นกัน เพราะหลังจากที่อดทนรอคอยโอกาสลงสนามอยู่นาน เมื่อได้ลงเล่นก็ทำให้แดนกลางของนิวคาสเซิลยกระดับขึ้นมาอย่างเหลือเชื่อ กลายเป็นไม่เป็นรองทีมใหญ่เลยด้วยซ้ำ
จนถึงช่วงซัมเมอร์ PIF เติมเงินให้อีก ซึ่ง เอ็ดดี ฮาว ก็ไม่ได้เลือกสตาร์ค่าตัวโหดอะไร เพราะตระหนักดีว่าเวลานี้นิวคาสเซิลยังไม่ดึงดูดพอสำหรับนักเตะเหล่านี้ แต่สำหรับนักเตะอย่าง สเวน บอตแมน กองหลังตัวแกร่งจากลีลล์, นิค โป๊ป ประตูมือดีของการฟุตบอลอังกฤษจากเบิร์นลีย์ และตัวท็อปคนที่ 2 อย่าง อเล็กซานเดอร์ อิซัค กองหน้าทีมชาติสวีเดนจากเรอัล โซเซียดัด ทำให้ทีมยิ่งแกร่งขึ้นไปอีก
การลงทุน 210 ล้านปอนด์ (ข้อมูลจาก The Athletic) ในช่วง 2 ตลาดการซื้อ-ขายนั้นมีส่วนแน่นอนในการทำให้ทีมดีขึ้น แต่ที่ดีขึ้นจนผิดหูผิดตาแบบนี้เป็นเพราะนิวคาสเซิลซื้อแต่ตัวผู้เล่นที่มีคุณภาพและตอบโจทย์ของทีมทุกจุด
แต่เงินไม่ใช่ทุกอย่างในการคืนชีพของพวกเขา
มิเกล อัลมิรอน กลายเป็นคนละคนเมื่อได้รับการชี้แนะจากฮาว
เริ่มต้นใหม่กับคนเดิม
นิวคาสเซิลมีแผนที่จะใช้เวลา 3 รอบตลาดการซื้อ-ขายเพื่อ ‘ปรับปรุงทีมอย่างสมบูรณ์’ เพียงแต่การซื้ออย่างเดียวไม่ใช่แนวทางของ เอ็ดดี ฮาว
ฮาวและทีมสตาฟฟ์ของพวกเขายังช่วยสโมสรประหยัดด้วยการเปลี่ยนผู้เล่นที่มีอยู่ในทีมที่ดีอยู่แล้ว ให้กลายเป็นคนที่ดีขึ้นได้อย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองด้วย
นักเตะในกลุ่มนี้ประกอบไปด้วย โชลินตัน กองหน้าค่าตัวแพงระยับที่ถูกมองว่าไม่คุ้มค่าแม้แต่นิด, มิเกล อัลมิรอน ตัวจี๊ดที่เล่นได้เห่ยจนถูก แจ็ค กรีลิช นำไปล้อกับ ไคล์ วอล์กเกอร์ ในช่วงการพาเหรดฉลองแชมป์ของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในฤดูกาลที่แล้วจนกลายเป็นดราม่า ไปจนถึง ฌอน ลองสตาฟฟ์ กองกลางดาวรุ่งสายเลือดแท้ของสโมสรที่เคยถูกมองว่าชั้นไม่ถึง
3 คนนี้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นอย่างน่าตกใจ โชลินตัน กลายเป็นนักเตะสารพัดประโยชน์ที่เล่นได้ดีทั้งการยืนแนวรุกหรือจะขยับถอนลงมายืนตรงกลาง ช่วยทีมได้ทุกอย่าง ในขณะที่อัลมิรอนตอนนี้ร้อนแรงเป็นไฟพะเนียง เป็นหนึ่งในตัวรุกที่ดีที่สุดของพรีเมียร์ลีกไปแล้วในเวลานี้ เพราะนอกจากความเร็วที่มีติดตัวอยู่แล้ว ยังเล่นได้เฉียบคมและเฉียบขาดอย่างมาก ส่วนลองสตาฟฟ์ก็ยกระดับตัวเองขึ้นมามากยามได้เล่นเคียงข้างนักเตะระดับอินเตอร์อย่าง บรูโน กิมาไรส์
ไม่นับ ฟาเบียน แชร์ กองหลังจอมแกร่ง, โจ วิลล็อก กองกลางอนาคตไกลที่ดึงมาจากอาร์เซนอล และ คัลลัม วิลสัน กองหน้าฝีเท้าดีคนหนึ่งของวงการฟุตบอลอังกฤษที่เป็นศิษย์เอกของฮาวมาก่อน ก็ได้รับการขัดเกลาจนเก่งขึ้นไปอีกระดับที่สโมสรแห่งนี้
โดยที่เรายังไม่ได้พูดถึง อัลลัน แซงต์-แม็กซิแม็ง ขวัญใจของทีมที่ประสบปัญหาอาการบาดเจ็บ และยังไม่สามารถแทรกตัวกลับมาเป็นตัวจริงได้ เพราะทีมกำลังลงตัวอย่างมากในเวลานี้ ซึ่งน่าสนใจว่าฮาวจะเปลี่ยนกองหน้าวันแมนโชว์คนนี้ให้เป็นคนใหม่ได้หรือไม่ด้วย
แดน เบิร์น และ โชลินตัน ไม่ยอมให้ บูกาโย ซากา ผ่านได้ง่ายๆ
Magpies Mentality
อีกสิ่งที่สำคัญและมีความหมายอย่างมากคือ เรื่องของการปรับเปลี่ยนวิธีคิดและสภาพจิตใจของนักเตะภายในทีม ซึ่งเป็นสิ่งที่เงินไม่สามารถซื้อได้
มันต้องเกิดจากการเรียนรู้ ทำความเข้าใจ และผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมาด้วยกันเท่านั้น
จุดเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดที่ เอ็ดดี ฮาว บอกคือ เกมที่นิวคาสเซิลบุกไปเอาชนะลีดส์ ยูไนเต็ด ได้ 1-0 ที่เอลแลนด์โรด เมื่อวันที่ 22 มกราคม ซึ่งแม้จะไม่ได้เป็นเกมที่สนุกหรือเล่นดี สวยงามอะไรขนาดนั้น แต่เป็นเกมแรกจริงๆ ที่นักเตะนิวคาสเซิลเริ่มแสดงให้เห็นว่าพวกเขา ‘เชื่อ’ ในวิธีการของฮาว
และความเชื่อมันต้องได้รับการพิสูจน์ด้วย ‘ผลงาน’ ซึ่งประตูชัยจากลูกฟรีคิกโดยนักเตะซีเนียร์ของทีมอย่าง จอนโจ เชลวีย์ มีความหมายอย่างมาก
จากชัยชนะในเกมนั้น นิวคาสเซิลได้เดินทางไปเก็บตัวร่วมกันที่ซาอุดีอาระเบียเป็นระยะเวลาสั้นๆ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ทีมได้ละลายพฤติกรรมกันใหม่หมด ทั้งนักเตะเก่า นักเตะใหม่ โค้ช และทีมงาน ก่อนที่จะกลับมาลงสนามอีกครั้งในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ต่อหน้าทูน อาร์มี ที่เข้ามาชมกันเต็มความจุสนามเซนต์เจมส์พาร์ก
เกมนั้นนิวคาสเซิลเอาชนะได้ 3-1 โดย คีแรน ทริปเปียร์ เป็นผู้สังหารฟรีคิกย้ำชัยให้ทีม เป็นการชนะต่อเนื่องกันสองนัดครั้งแรกตั้งแต่เดือนกันยายน ซึ่งหลังจากนั้นนิวคาสเซิลก็ค่อยๆ เปลี่ยนจากทีมที่ต้องลุ้นหนีตกชั้น กลายมาเป็นทีมที่ยืนหยัดได้อย่างสง่างาม
นิวคาสเซิลของฮาวไม่เหมือนบอร์นมัธอีกแล้ว พวกเขาไม่ได้เล่นฟุตบอลที่สวยงามอย่างเดียว แต่เป็นฟุตบอลที่เน้นผลการแข่งขันด้วย เล่นแบบมีสไตล์ มีการวางแผนรับมือตามคู่แข่ง และมีความเหนียวแน่น ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ชนะใจแฟนบอลทุกคน
โดยเฉพาะในฤดูกาลนี้ที่แม้จะเริ่มต้นฤดูกาลได้ไม่ถึงกับดีนักด้วยการชนะแค่เกมเดียวจาก 7 นัดแรก แต่หลังจากนั้นนิวคาสเซิลไม่แพ้ใครอีกเลยใน 12 นัด เป็นการชนะถึง 9 นัด เสมอ 3 โดยในจำนวนนี้รวมถึงการเอาชนะเชลซี, สเปอร์ส และยันเสมอแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และอาร์เซนอล (ต้นฤดูกาลยันเสมอแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้ด้วย) นัดเดียวที่พวกเขาแพ้คือแพ้ต่อลิเวอร์พูล และเป็นการแพ้แบบโชคร้าย เพราะโดน ฟาบิโอ คาร์วัลโญ ยิงในช่วงทดเวลาบาดเจ็บนาทีสุดท้ายพอดี
เวลานี้พวกเขาทำให้พวกเราเริ่มเชื่อว่ากำลังมีความหวังจะทำอันดับไปสโมสรฟุตบอลยุโรป ซึ่งแม้ระยะทางจะยังอีกยาวไกลและนิวคาสเซิลต้องพิสูจน์อีกมาก
แต่อย่างน้อยที่สุดในเวลานี้พวกเขาพิสูจน์ว่า ‘สาลิกาดง’ คือของจริง ความเดือดดาลของอาร์เซนอลที่สยบพวกเขาไม่ลงคือหลักฐานที่ดี และเป็นการเตือนถึงเหล่า ‘Big Six’ ที่ครองอำนาจลูกหนังอังกฤษมานานว่าโปรดระวังให้ดี ระวังจะเป็นยุค ‘God Seven’
และที่สำคัญ ทุกอย่างเพิ่ง ‘เริ่มต้น’ ขึ้นเท่านั้น
อ้างอิง:
- https://theathletic.com/4039928/2022/12/31/newcastle-united-2022-year/
- https://theathletic.com/3651769/2022/10/05/newcastle-takeover-what-next/
- https://en.wikipedia.org/wiki/2022%E2%80%9323_Newcastle_United_F.C._season
- https://www.bbc.com/sport/football/64159068
- https://www.bbc.com/sport/football/64159068