นิวซีแลนด์กลายเป็นประเทศแรกในโลกที่ออกกฎบังคับผู้ที่เดินทางเข้าประเทศต้องเปิดเผยรหัสผ่านหรือพาสเวิร์ดของอุปกรณ์ดิจิทัลที่จุดตรวจคนเข้าเมือง มิเช่นนั้นจะถูกดำเนินคดีหรือปรับเงินสูงถึง 5,000 เหรียญนิวซีแลนด์ หรือประมาณ 106,000 บาท
เทอร์รี บราวน์ โฆษกสำนักงานศุลกากรของนิวซีแลนด์ระบุว่า นิวซีแลนด์เป็นประเทศแรกที่บังคับใช้มาตรการลงโทษนี้ “เพราะเราไม่ทราบว่ามีประเทศอื่นที่ออกกฎหมายลงโทษคนที่ไม่ยอมเปิดเผยพาสเวิร์ดแบบนี้หรือไม่ แต่เจ้าหน้าที่ชายแดนเชื่อว่ามาตรการปรับเงินเป็นสิ่งที่เหมาะสมเพื่อรักษาสมดุลระหว่างความเป็นส่วนตัวของบุคคลกับความมั่นคงแห่งชาติ”
นิวซีแลนด์เป็นหนึ่งในหลายๆ ประเทศ รวมถึงสหรัฐอเมริกาที่มอบอำนาจให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรตรวจค้นโทรศัพท์มือถือหรืออุปกรณ์ดิจิทัล และสามารถยึดอุปกรณ์เพื่อนำไปตรวจสอบ หากเจ้าหน้าที่เชื่อว่ามีหลักฐานการก่ออาชญากรรม แต่ที่ผ่านมายังไม่เคยมีการตรากฎหมายบังคับนักเดินทางให้เปิดอุปกรณ์ดิจิทัลให้เจ้าหน้าที่รัฐตรวจสอบ เช่นเดียวกับให้ป้อนพาสเวิร์ด หรือใช้ข้อมูลทางชีวภาพ เช่น ปั๊มลายนิ้วมือ หรือสแกนใบหน้า
แต่ตั้งแต่สัปดาห์นี้ ผู้ที่เดินทางเข้านิวซีแลนด์ ไม่ว่าจะเป็นชาวต่างชาติหรือพลเมืองแดนกีวีจะต้องปรับตัวเข้ากับกฎหมายใหม่ โดยต้องปลดล็อกอุปกรณ์ของพวกเขาต่อหน้าเจ้าหน้าที่ หากใครฝ่าฝืนอาจถูกดำเนินคดีหรือปรับเงินไม่เกิน 5,000 เหรียญนิวซีแลนด์
บราวน์เปิดเผยเพิ่มเติมว่า เมื่อเปิดเผยรหัสผ่านแล้วจะมีการตรวจค้นเบื้องต้นในคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปหรือโทรศัพท์มือถือของนักเดินทางที่ตั้งค่าไว้ที่โหมดใช้งานบนเครื่องบิน (Flight Mode) โดยเจ้าหน้าที่อาจดูแค่ไฟล์ที่เซฟไว้ในอุปกรณ์ แต่ไม่ค้นประวัติการเข้าเว็บไซต์หรือข้อมูลอื่นๆ ที่อัปโหลดลงในระบบคลาวด์
ทว่าเจ้าหน้าที่อาจยึดอุปกรณ์ไปตรวจสอบเพิ่มเติมหากมีเหตุผลอันควร และอาจริบไว้หากผู้ที่เดินทางเข้าประเทศไม่ยอมเปิดเผยรหัสผ่าน
มาตรการดังกล่าวถูกวิจารณ์อย่างกว้างขวางจากผู้สนับสนุนสิทธิเสรีภาพของพลเรือน โดยให้เหตุผลว่าอุปกรณ์ดิจิทัลมีข้อมูลส่วนตัวของบุคคลมากกว่าสิ่งของในกระเป๋าเดินทาง ดังนั้นจึงควรได้รับการคุ้มครองเป็นพิเศษ
ศาสตราจารย์แคทินา มิเชล แห่งมหาวิทยาลัย Wollongong ในออสเตรเลีย ให้ความเห็นว่า กฎหมายของประเทศส่วนใหญ่มอบอำนาจให้เจ้าหน้าที่สามารถยึดอุปกรณ์ไว้ตรวจสอบเป็นเวลาหลายสัปดาห์ หากต้องสงสัยว่ามีการทำผิดกฎหมาย แต่มาตรการปรับเงินของนิวซีแลนด์เป็นสิ่งที่สร้างความหวาดกลัวให้กับผู้คน ซึ่งโดยมากพวกเขาจะไม่ทราบถึงสิทธิเวลาเดินทางเข้าประเทศอื่น
“ในมือถือของคนจำนวนมากมีข้อมูลที่มีผลต่อการแข่งขัน ข้อมูลอุตสาหกรรม ข้อมูลข่าวกรอง หรือทรัพย์สินทางปัญญา รวมถึงข้อมูลส่วนตัว ดังนั้นสมาร์ทโฟนของพวกเราจึงเป็นเรื่องที่มากกว่าความเป็นส่วนตัว” ศาสตราจารย์มิเชล กล่าว
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
อ้างอิง: