แม้แต่ไลฟ์สไตล์คนรวยยังโดน Disrupt! เปิดเทรนด์พฤติกรรมที่ (อาจ) ไม่เคยรู้ของกลุ่ม New Wealth
คำว่า Digital Disruption อาจจะคุ้นหูหรือผ่านสายตาของใครหลายคน โดยเฉพาะในช่วงเวลา 1 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเกิดจากการเติบโตอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีและดิจิทัล ที่ส่งผลต่อการใช้ชีวิตของมนุษย์อย่างเราๆ ทำให้หลายสิ่งต้องขยับปรับเปลี่ยน ไม่ว่าจะเพื่อความอยู่รอดหรือปรับตัวไปตามกระแสสังคมก็ตาม ซึ่งแม้แต่ ‘ความรวย’ ก็ยังโดน Digital เข้ามา Disrupt เช่นกัน จาก The 1 Insight ซึ่งเป็น Data Insight Report of Today Consumer’s Lifestyle โดย The 1 ได้อธิบายข้อมูลของความรวยแบบใหม่ ไล่ตั้งแต่คำนิยามของความร่ำรวยที่ต่างไปจากเดิม ไปจนถึงวิถีชีวิตและพฤติกรรมของคนรวยที่ต่อไปนี้จะเรียกพวกเขาว่า New Wealth
New Wealth คือใครกัน
ตามข้อมูลจาก The 1 Insight สามารถอธิบาย New Wealth ให้เข้าใจได้ง่ายๆ ถึงกลุ่มคนร่ำรวยในยุคใหม่ที่มีพฤติกรรมและทัศนคติที่ต่างไปจากสมัยก่อน แม้ New Wealth บางส่วนอาจจะรวยมาจากทรัพย์สมบัติที่ได้รับตกทอดจากวงศ์ตระกูล แต่ด้วยการพัฒนาของเทคโนโลยีต่างๆ ทำให้โอกาสทางธุรกิจเปิดกว้างมากยิ่งขึ้น คนเหล่านี้จึงสามารถสร้างตัว มีฐานะทางการเงินที่มั่นคงได้รวดเร็ว จนสามารถก้าวเข้าสู่การเป็นผู้มีอำนาจการซื้อที่สูงขึ้น
นอกจากนี้ภาพลักษณ์ความหรูหราที่กลุ่มนี้มองหาจะไม่ได้เป็นเชิงวัตถุนิยม การเน้นกระเป๋า เสื้อผ้าแบรนด์เนม และรถคันหรูเพียงเท่านั้น แต่เปลี่ยนเป็นการให้ความสำคัญกับความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น เพื่อตอบคำถามที่ว่า “สิ่งนี้มีคุณค่ากับเขาอย่างไร และตรงกับคุณค่าที่ฉันกำลังมองหาหรือไม่”
ดังนั้น การใช้จ่ายของ New Wealth จึงขยายขอบเขตไปถึงการท่องเที่ยวหาประสบการณ์ในที่แปลกใหม่ การเลือกคอร์สหรือเวิร์กช็อปเพื่อเรียนรู้ทักษะที่จะเพิ่มอัตลักษณ์ของตนให้ชัดเจน แม้ว่าราคาที่ต้องจ่ายจะสูงแค่ไหนก็ตาม
เทรนด์คนรวยแบบ New Wealth เปลี่ยนไปอย่างไร
สิ่งแรกที่ The 1 Insight เผยไลฟ์สไตล์ของ New Wealth ออกมาให้เห็นคือ พฤติกรรมการใช้จ่ายที่น่าสนใจ โดยแสดงให้เห็นว่า การซื้อสินค้าและบริการของกลุ่มนี้จะเกิดขึ้นทุกๆ 5 วัน ซึ่งมากกว่ากลุ่มคนทั่วไปถึง 3.5 เท่า และเมื่อไปดูที่ยอดใช้จ่ายเฉลี่ยก็ยังมีความสอดคล้องกัน เพราะพวกเขามียอดใช้จ่ายสูงกว่ากลุ่มคนทั่วไปถึง 3 เท่า ทำให้แบรนด์ต่างๆ ควรรู้จักเข้าหา New Wealth อย่างถูกวิธี เพราะนั่นอาจทำให้พวกเขาพัฒนาจาก Potential Customer มาเป็น Current Customer ได้
อย่างที่สองคือ การทำความเข้าใจวัฒนธรรมของคนรวยเสียใหม่ เพราะพฤติกรรมของคนรวยเปลี่ยนแปลงไป วัฒนธรรมของคนรวยจึงเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นการซื้อสินค้าไฮเอนด์แบรนด์ ที่แต่เดิมมีการจัดเตรียมและออกแบบประสบการณ์หน้าร้าน ให้ลูกค้ารู้สึกประทับใจการบริการ ปัจจุบัน Customer Journey หน้าร้านก็ไม่เพียงพออีกต่อไป จากความต้องการซื้อที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เพราะการกระตุ้นโดยโฆษณาบนอินเทอร์เน็ต การช้อปสินค้าหรูราคาหลักหมื่นหลักแสนขึ้นไป จึงขยับขยายมาสู่โลกออนไลน์อย่างเลี่ยงไม่ได้ หรือแม้แต่ปรับภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้เข้ากับความต้องการของตลาดมากขึ้น จับต้องได้ง่ายขึ้น สามารถบ่งบอกถึงเอกลักษณ์ของแบรนด์ได้อย่างชัดเจน เพื่อให้กลุ่ม New Wealth ยินดีซื้อสินค้าไปใช้ เพื่อแสดงสไตล์และเติมเต็มตัวตนความเป็นตัวเอง
สุดท้ายคือ แบรนด์จะอยู่รอดได้ ไม่ใช่แค่การพัฒนาสินค้าและบริการให้ดีที่สุดเท่านั้น แต่ยังต้องเสริมด้วยประสบการณ์แบบพิเศษที่ New Wealth สามารถได้รับจากแบรนด์ของเราเท่านั้น อย่างที่เกริ่นไปว่า พวกเขามองหาสิ่งที่มีคุณค่ากับพวกเขา แบรนด์ก็สามารถสื่อสารคุณค่านั้นผ่านประสบการณ์ที่จะมอบให้ลูกค้าได้เช่นกัน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ บรรดาร้านอาหารที่รังสรรค์ประสบการณ์ให้กับลูกค้าได้เพลิดเพลิน นอกเหนือจากรสชาติอาหาร ทำให้ยกระดับประสบการณ์การกินอาหารในร้านไปอีกขั้นหนึ่ง ซึ่งข้อพิสูจน์ที่เห็นได้ชัดคือ ยอดค่าใช้จ่ายเฉลี่ยที่ร้านอาหาร Fine Dining และ Super Fine Dining ผ่านบัตรเครดิตเซ็นทรัลเดอะวันในรอบหนึ่งปีที่ผ่านมา ที่สูงถึง 170,000 บาทต่อคน
ตัวเลขของกลุ่ม New Wealth จะยังเติบโตต่อไปเรื่อยๆ และในที่สุด พวกเขาก็จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้ทรงอำนาจทางการซื้อแทนกลุ่ม Old Money ต้องจับตาดูกันต่อไปว่า เทรนด์พฤติกรรมของพวกเขาจะมีอะไรที่น่าสนใจและเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหนในอนาคต ใครที่สนใจอ่านข้อมูลฉบับเต็มของ The 1 Insight สามารถดาวน์โหลด Full Report ได้ที่ slideshare.net/The1Insight