ยักษ์ใหญ่บริการสตรีมมิงอย่าง Netflix กำลังประสบปัญหาการเงิน โดยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีการทุ่มเงินอย่างมหาศาลไปกับภาพยนตร์แอ็กชันบล็อกบัสเตอร์อย่าง ‘The Grey Man’ และ ‘Red Notice’ และทั้งสองเรื่องทำเงินให้บริษัทไปเรื่องละ 200 ล้านดอลลาร์
แม้ภาพยนตร์พวกนี้เป็นก้าวแรกในการจุดประกายแฟรนไชส์ระดับตำนาน แต่ค่าใช้จ่ายในการผลิตนั้นสูงลิ่ว และยังไม่ชัดเจนว่าจะส่งผลกระทบอย่างไรต่อกำไรของ Netflix
ขณะที่ผลงานยอดฮิตอย่าง ‘Stranger Things’ ซีรีส์ระทึกขวัญเหนือธรรมชาติที่ซ่อนความสยองขวัญเอาไว้ได้กลายเป็นมาตรฐานทางวัฒนธรรมไปเรียบร้อยแล้ว และล่าสุดได้เปิดตัวซีซันที่ 4 สร้างแรงบันดาลใจให้กับชุดฮาโลวีนและวิดีโอเกมทั้งหลาย กับจักรวาลที่เต็มไปด้วยสัตว์ประหลาด
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- Stranger Things 4 ไม่สามารถโค่นแชมป์ Squid Game ในฐานะซีรีส์ที่มียอดชมสูงสุดตลอดกาลของ Netflix
- หากอยากใช้งาน ‘หลายบ้าน’ จ่ายเพิ่มมา 110 บาท! Netflix เริ่มทดสอบแผนจัดการ ‘แชร์รหัส’ ในหลายประเทศ
- ลูกค้า Netflix ลดลงเพียง 9.7 แสนราย จากที่คาดจะมากถึง 2 ล้านราย นักลงทุนปลื้มหุ้นดีด 12% เผยโฆษณาและแผนจัดการแชร์รหัสมาแน่ปี 2023
แม้ตัวซีส์จะใช้งบประมาณใกล้เคียงกับภาพยนตร์ทั้งสองเรื่อง (ประมาณ 200 ล้านดอลลาร์ต่อซีซัน) ทว่าความสำเร็จของมันทำให้บางคนในอุตสาหกรรมตั้งคำถามกับ Netflix ว่าภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์นั้นคุ้มค่ากับการลงทุนของบริษัทหรือไม่
คู่แข่งของ Netflix ส่วนใหญ่ได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ด้านเนื้อหาแล้ว เพื่อลดค่าใช้จ่ายกับเนื้อหาที่ลงสตรีมมิงอย่างเดียว โดย เดวิด ซาสลาฟ ซีอีโอของบริษัท Warner Bros. Discovery กล่าวว่า บริษัทของเขาไม่สามารถหา ‘มูลค่าทางเศรษฐกิจ’ ให้กับการผลิตภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เพื่อลงสตรีมมิงอย่างเดียวได้
“โชคดีที่เราเห็นแล้วว่าภาพยนตร์ที่ลงสตรีมมิงอย่างเดียวนั้นเป็นอย่างไร” เขากล่าวระหว่างการรายงานผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 “โดยข้อสรุปของเราคือราคาของหนังที่ลงสตรีมมิงอย่างเดียวนั้นเทียบไม่ได้กับภาพยนตร์ที่เปิดตัวในโรงภาพยนต์”
สำหรับ Netflix นั้นไม่ค่อยปล่อยภาพยนตร์ลงโรงเท่าไรนัก เว้นแต่ต้องการสิทธิ์ในการเข้าร่วมงานประกาศรางวัล บริษัทจึงกำหนดงบผลิตภาพยนตร์บนพื้นฐานที่ว่าต้องการเพิ่ม Subscription เท่านั้น
นั่นเป็นเหตุผลที่นักวิเคราะห์ชี้ว่าภาพยนตร์สยองขวัญจะเป็นทางออกในการหารายได้สำหรับ Netflix โดย ‘Get Out’ ของสตูดิโอ Blumhouse และ Universal นั้นมีทุนสร้างเพียง 4.5 ล้านดอลลาร์เท่านั้น ซึ่งสามารถสร้างรายได้ได้มากกว่า 250 ล้านดอลลาร์ทั่วโลก
ขณะที่บริษัทวางแผนจะพัฒนา ‘The Grey Man’ ให้กลายเป็นภาพยนตร์ระดับแฟรนไชส์ ผู้ก่อตั้งและที่ปรึกษาบริษัท Creative Media อย่าง Peter Csathy กล่าวว่า Netflix กำลังมองข้ามโอกาสในการสร้างภาพยนตร์ระดับแฟรนไชส์กับภาพยนตร์สยองขวัญ ที่อาจช่วยให้ Netflix ประหยัดค่าใช้จ่ายได้หลายล้านดอลลาร์ต่อเรื่อง
“ต้นทุนของภาพยนตร์สยองขวัญนั้นเป็นส่วนเล็กส่วนน้อยของการเดิมพันขนาดใหญ่ของบริษัทเท่านั้น” เขากล่าว “แล้วทำไมไม่ลองซื้อของราคาถูกที่สามารถเจาะใจกลุ่มเป้าหมายของคุณได้ล่ะ ทำไมไม่ไปลงทุนกับมัน แทนที่จะลงทุนกับภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์มากมายนั่น”
เขายังกล่าวอีกว่ากลุ่มเป้าหมายของภาพยนตร์สยองขวัญนั้นอายุยังน้อย ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายที่ผู้ให้บริการสตรีมมิงต้องการเจาะ
ที่ผ่านมา Netflix ประสบความสำเร็จอย่างมากกับภาพยนตร์แนวสยองขวัญของตน เช่น ภาพยนตร์ไตรภาคอย่าง ‘Fear Street’ พร้อมทั้งผลงานต้นตำหรับอย่าง ‘No One Gets Out Alive’ และ ‘There’s Someone Inside Your House’
อย่างไรก็ตามส่วนหนึ่งของการตรวจสอบรายได้ของ Netflix นั้นขาดตัวชี้วัดที่ชัดเจนกับการประเมินประสิทธิภาพของการสตรีมภาพยนตร์และรายการครั้งแรก
ต้นทุน 200 ล้านดอลลาร์ของภาพยนตร์ ‘The Grey Man’ นั้นอธิบายได้ยากขึ้น เมื่อไม่มีกำไรที่มองเห็นได้เมื่อจบขั้นตอนการผลิตเหมือนอย่างที่สตูดิโอผลิตภาพยนตร์เห็นยอดขายตั๋ว Box Office โดยผู้สมัครรับบริการสตรีมมิงนั้นจ่ายรายเดือนหรือรายปีเพื่อเข้าถึงคอนเทนต์ต่างๆ ของแพลตฟอร์ม ทั้งนี้ Netflix นั้นแย้งว่าคอนเทนต์ของบริษัทคือสิ่งที่ทำให้ผู้ใช้ยังอยู่กับแพลตฟอร์ม
และยังไม่ชัดเจนว่าต้นทุนของภาพยนตร์ไตรภาคอย่าง ‘Fear Street’ นั้นมีต้นทุนเท่าใด ซึ่งข้อมูลประสิทธิภาพของภาพยนตร์บนแพลตฟอร์มนั้นมีจำกัด แต่จากการคาดการณ์ของบริษัทผู้ให้ข้อมูลอย่าง Nielsen ภาพยนตร์อย่าง ‘Fear Street 1994’ สร้างเวลาดูของผู้ชมได้ 284 ล้านนาทีในช่วงสัปดาห์แรกของการเปิดตัว และ ‘Fear Street 1978’ ทำได้ 229 ล้านนาที โดยขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลของ ‘Fear Street 1666’
ผู้เชี่ยวชาญด้านความบันเทิงหลายคนพยายามหาวิธีคำนวณจากชั่วโมงการดูไปเป็นรายได้ การรักษาลูกค้า และความแข็งแกร่งของ Netflix แต่วิธีการที่บริษัทไฟเขียวหรือยกเลิกรายการไหนยังคงเป็นปริศนาสำหรับนักวิเคราะห์
“เห็นได้ชัดว่า Netflix มีวิธีการคำนวณข้อมูลที่พวกเขาเชื่อว่าตรงที่สุด ที่ไว้ตัดสินว่าอะไรสำเร็จและไม่สำเร็จ” แดน เรย์เบิร์น นักวิเคราะห์สื่อและสตรีมมิงกล่าว โดยทั้งนี้วิธีการคัดเลือกเนื้อหาของ Netflix เรย์เบิร์นกล่าวว่าตอนนี้ข้อมูลยังไม่เพียงพอ แต่จะมีมากขึ้นเมื่อผู้ให้บริการสตรีมมิงย่างกายเข้าสู่ธุรกิจโฆษณา
ภาพ: Xavi Lopez / SOPA Images / LightRocket via Getty Images
อ้างอิง: