THE STANDARD ร่วมสัมภาษณ์ ดอน คัง (Don Kang) รองประธานฝ่ายคอนเทนต์เกาหลีของ Netflix ซึ่งไม่เพียงได้รู้แล้วว่าออริจินัลคอนเทนต์เกาหลี 25 เรื่องที่เราจะได้ดูในปี 2022 น่าตื่นเต้นแค่ไหน ยังเป็นอีกครั้งที่ได้เห็นความทุ่มเทของ Netflix ในการนำเรื่องเล่าจากเกาหลีไปสู่คนดูทั่วโลก
และที่น่าสนใจที่สุด ดอน คัง ได้เล่าถึงเหตุผลที่ทำให้คอนเทนต์เกาหลีได้รับความนิยมระดับสากล เพราะตัวเลขไม่เคยโกหก และมันบอกชัดเจนแล้วว่า คอนเทนต์เกาหลีคือคลื่นลูกใหม่ที่ผู้ชมทั่วโลกยอมรับ!
- 2021 จำนวนชั่วโมงการรับชมคอนเทนต์เกาหลีทั่วโลกใน Netflix เติบโตขึ้นจากปี 2019 ถึง 6 เท่าตัว
- Squid Game กลายเป็นซีรีส์ที่เปิดตัวยิ่งใหญ่ที่สุดเป็นประวัติการณ์ในบรรดาซีรีส์ทั้งหมดที่ Netflix เคยมีมา ซึ่งทำสถิติขึ้นแท่นเป็นซีรีส์ของ Netflix ที่มียอดผู้ชมสูงสุดใน 94 ประเทศทั่วโลก
- Squid Game มีสัดส่วนผู้ชมจากนอกประเทศเกาหลีใต้ถึง 95%
- Hellbound ทำสถิติเปิดตัวด้วยชั่วโมงการชมถึง 43.48 ล้านชั่วโมง และยังติดอันดับ Top 10 ของ Netflix ใน 93 ประเทศ
- The Silent Sea เปิดตัวด้วยการขึ้นสู่อันดับ 1 ใน Top 10 รายสัปดาห์ของซีรีส์ภาษาต่างประเทศของ Netflix
นับตั้งแต่ปี 2016-2021 Netflix เปิดตัวคอนเทนต์เกาหลีมามากกว่า 130 เรื่อง จนกลายเป็นบ้านหลังใหญ่สำหรับแฟนๆ คอนเทนต์เกาหลี และการที่ในปี 2022 Netflix จะมีคอนเทนต์เกาหลี 25 เรื่อง ก็ต้องเรียกว่าเป็นผลสำเร็จของการมองไกลและเล็งเห็นว่าศักยภาพของคอนเทนต์เกาหลีรุนแรงเกินต้าน จนทำให้กระแส K-Wave ซัดสาดไปยังคนดูทั่วโลก
อ่านต่อ ไลน์อัพคอนเทนต์เกาหลี Netflix ตลอดปี 2022 https://thestandard.co/netflix-announced-movies-and-series-2022/
“คอนเทนต์เกาหลีได้กลายเป็นหนึ่งในเสาหลักของความบันเทิงระดับโลกไปแล้วครับ มันจึงไม่ใช่แค่ประเภทคอนเทนต์ที่สำคัญสำหรับ Netflix แต่เรามองเห็นการแข่งขันอีกมากที่กำลังจะเข้ามา เพราะมีบริษัทสื่อจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ สนใจจะเข้ามาลงทุนในคอนเทนต์เกาหลี รวมถึงผลิตและซื้อลิขสิทธิ์คอนเทนต์เกาหลีครับ”
ดอน คัง รองประธานฝ่ายคอนเทนต์เกาหลีของ Netflix อยู่ตรงหน้าจอวิดีโอคอลจากกรุงโซล เกาหลีใต้ ในวันสัมภาษณ์สื่อระดับภูมิภาค และการประกาศไลน์อัพคอนเทนต์เกาหลีของ Netflix ในปี 2022 เขาพร้อมแล้วที่จะเล่าให้เราฟังถึงการทำงานเพื่อช่วยผลักดันให้คอนเทนต์เกาหลีไปได้ไกลกว่าที่เคยเป็นมา
ทำไมคอนเทนต์เกาหลีถึงประสบความสำเร็จไปทั่วโลก คุณคิดว่าเกี่ยวกับความเป็น ‘คอนเทนต์เกาหลี’ โดยเฉพาะ หรือมีบทเรียนอะไรที่ประเทศอื่นสามารถนำไปปรับใช้ได้บ้าง
ผมคิดว่ามันเริ่มต้นจากการที่เกาหลีมีสภาพแวดล้อมที่แข็งแกร่งในการสร้างคอนเทนต์ที่ดี ซึ่งจำเป็นต้องมีการทำความเข้าใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ด้วยเล็กน้อย
ในประเทศเกาหลี ความคาดหวังของผู้ชมจากคอนเทนต์ที่แตกต่างกันมีสูงมาก ซึ่งส่วนใหญ่มาจากความจริงที่ว่าประเทศเกาหลีใต้มีระบบโรงภาพยนตร์ที่ดีเยี่ยม รวมทั้งช่องโทรทัศน์เองก็มีการผลิตเนื้อหาที่มาตรฐานสูงมากๆ ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่มีการแข่งขันสูงมานานหลายสิบปี ดังนั้นการที่ผู้ผลิตจะบอกเล่าเรื่องราวของพวกเขาออกมาให้ได้รับความนิยมจากสาธารณชนนั้น จะต้องผ่านกระบวนการความคิดอย่างหนัก และต้องมั่นใจว่ามีคุณภาพการผลิตที่ดีที่สุด สิ่งนี้คือจุดเริ่มต้นนะครับ
สำหรับ Netflix เรามีความเชื่อในคอนเทนต์ของเกาหลีว่า ถ้าเราสร้างคอนเทนต์เกาหลีให้ประสบความสำเร็จในประเทศได้ เราก็มีเป้าหมายที่จะทำให้คอนเทนต์นี้ยิ่งใหญ่ระดับโลกได้เช่นเดียวกัน
และส่วนที่สองคือการเข้ามาของ Netflix ที่เข้ามาอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน และโชคดีที่เราได้เป็นส่วนหนึ่งในการทำงานกับผู้สร้างสรรค์คอนเทนต์เกาหลี เราจะตรวจสอบให้แน่ใจว่าความตั้งใจดั้งเดิมของผู้สร้างและเมสเสจที่ต้องการสื่อสารนั้นถูกถ่ายทอดไปยังผู้ชมอย่างถูกต้อง ไม่เพียงแค่ในประเทศเกาหลี แต่รวมถึงประเทศอื่นๆ ทั่วโลก
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม Netflix ถึงลงทุนมหาศาลในการพากย์เสียง ทำบทบรรยายเพื่อให้เข้าถึงคนทั่วโลก ไปจนถึงการทำการตลาด เพราะหากไม่มีสิ่งเหล่านี้ คอนเทนต์ที่ยอดเยี่ยมก็จะฉายอยู่แค่ในประเทศเกาหลี แต่ผู้ชมนอกประเทศจะพลาดโอกาสในการได้ชมหรือมีความรู้สึกร่วมไปกับสิ่งที่ผู้ผลิตต้องการจะสื่อสาร ดังนั้นสิ่งที่ Netflix ทำคือ การนำคอนเทนต์เกาหลีไปทั่วโลก ผมคิดว่าสิ่งนี้มีส่วนอย่างมากในการสร้างความสำเร็จอย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้
ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานี้ซีรีส์เกาหลีมีวิวัฒนาการอย่างไรบ้าง คุณมองเห็นความแตกต่างที่ชัดเจนอะไรบ้าง
ทุกวันนี้เราจะเห็นเทรนด์ซีรีส์ที่มีแนวหลากหลายขึ้น ผมว่าอุตสาหกรรมบันเทิงเกาหลีเมื่อ 10 ปีก่อน โดยเฉพาะซีรีส์เกาหลี มุ่งเน้นไปที่ซีรีส์แนวโรแมนติกคอเมดี้ที่มีดาราดังนำแสดง ซึ่งมักจะเป็นสูตรสำเร็จในแบบเดียวกัน
ผมมองว่าวงการนี้ได้เดินทางมาถึงจุดที่สามารถบอกเล่าเรื่องราวผ่านวิสัยทัศน์ของผู้สร้าง ผมคิดว่านั่นคือประเด็นสำคัญ แต่ประสบการณ์ของผมในวงการซีรีส์ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา คือ เขาเหล่านั้นรับมือกับความหลากหลายทางอารมณ์ที่เป็นสากลมากๆ อาจจะเป็นเรื่องราวความรัก ศีลธรรม มิตรภาพ หรือเป็นเรื่องเกี่ยวกับช่วงเวลายากลำบากที่เราต้องเผชิญ แต่เล่าผ่านหัวข้อพิเศษหรือเหตุการณ์ที่เจาะจงชัดเจน และถ่ายทอดอารมณ์ในแบบที่ไม่เหมือนใคร
ถ้ามองในแง่นั้นผมว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนไปมาก นอกจากรูปแบบของหัวข้อเรื่องราวที่เราจัดการและมีพัฒนาการมากขึ้นครับ
ความสำเร็จและสิ่งที่เกิดขึ้นในปี 2021 ทาง Netflix ได้มีการถอดบทเรียนแล้วนำมาสู่การวางแผนงานในปี 2022 อย่างไรบ้าง
ความสำเร็จที่เราได้รับในปีที่ผ่านมานี้มาจากเมล็ดพันธุ์ที่เราปลูกไว้เมื่อหลายปีก่อนหน้าครับ เป็นเวลา 6 ปีแล้วที่ Netflix เข้ามาในตลาดเกาหลี เราเริ่มผลิต เริ่มซื้อลิขสิทธิ์คอนเทนต์ต่างๆ ได้ลองผิดลองถูกกับความเป็นไปได้ของคอนเทนต์เกาหลีว่าเราจะทำงานในตลาดนี้ได้อย่างไรบ้าง จากนั้น Netflix ก็ประสบความสำเร็จจากซีรีส์ Kingdom ผีดิบคลั่ง บัลลังก์เดือด ซึ่งเป็นคอนเทนต์ที่ไปได้ดีในเกาหลีรวมทั้งนอกเกาหลีด้วย
แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปอย่างชัดเจนในปีที่ผ่านมาคือระดับของการถูกพูดถึงของซีรีส์อย่าง Squid Game, Hellbound, My Name และ The Silent Sea ซึ่งไปไกลเกินกว่าที่เราคาดคิดมาก
ความสำเร็จของ Netflix ในปีที่ผ่านมานี้ก็นับว่าได้พิสูจน์สมมติฐานของเราอย่างแท้จริง และผมเชื่อในคอมมูนิตี้นักคิดนักสร้างสรรค์ของเกาหลี เราไม่มีแผนจะเปลี่ยนกลยุทธ์ใดๆ โดยเร็ววันนี้ แต่เรามีแผนงานที่ยิ่งใหญ่อยู่แล้วสำหรับคอนเทนต์เกาหลีครับ
ข้อมูลหนึ่งที่เปิดเผยได้ก็คือ คอนเทนต์เกาหลีโดย Netflix ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างดูลุ้นระทึก แต่ความจริงแล้วคอนเทนต์เกาหลีที่เดินทางสู่ต่างประเทศได้ไกลส่วนใหญ่จะเป็นซีรีส์แนวโรแมนติกคอเมดี้
จริงๆ แล้วเรามีแผนการที่ชัดเจนในการขยายขอบเขตเนื้อหาที่เราผลิต ไม่ใช่แค่สไตล์ที่ต่างกันเท่านั้น สิ่งที่เราพยายามหาคือ เราต้องการสูตรที่เหมาะสำหรับช่องทาง SVOD (Subscription Video on Demand) และต้องมีความพิเศษบางอย่างที่แตกต่างจากที่เราเคยเห็นทางโทรทัศน์ก่อนหน้านี้ ดังนั้นเราจึงพยายามสำรวจแนวคอนเทนต์ต่างๆ ว่าสิ่งไหนน่าสนใจสำหรับปีนี้
เบื้องหลังการทำงานซีรีส์ The Silent Sea https://www.youtube.com/watch?v=rba3sn3VKUc
Netflix มีซีรีส์ในความยาวทั้งแบบ 50, 20, 16 ตอน และตอนนี้ก็มีเรื่องที่มีความยาว 6 หรือ 8 ตอน ผลตอบรับเป็นอย่างไรบ้าง เราจะได้เห็นซีรีส์รูปแบบสั้นต่อจากนี้ไหม
คำตอบนั้นเรียบง่ายมากครับ เรื่องจำนวนตอนเราไม่ได้ตั้งใจทำให้ยาวขึ้นหรือสั้นลง เราโฟกัสไปที่สิ่งเดียว คือ เรื่องราวดีๆ ที่อยากบอกเล่า และพยายามหาวิธีที่เหมาะสมที่สุดเพื่อเล่าเรื่องราวนั้นให้คนดูเพลิดเพลิน
มีซีรีส์หลายเรื่องที่ผลิตในภูมิภาคอื่นๆ ยกตัวอย่างลาตินอเมริกา ที่มักจะมีจำนวนตอนที่ยาวกว่า แต่ในเกาหลีตามธรรมเนียมแล้วมาตรฐานของซีรีส์เรื่องสั้นคือ 16 ตอน เหตุผลที่รูปแบบนั้นได้เกิดขึ้นในเกาหลี ก็เพราะนั่นเป็นวิธีที่ผู้ลงโฆษณาจัดการบริหารงบประมาณของพวกเขา และใช้งบประมาณนั้นไปกับช่องสถานีโทรทัศน์
แต่ Netflix ไม่ได้ผูกมัดกับสิ่งนั้น ดังนั้นสิ่งที่เราโฟกัสจึงไม่ใช่โฆษณา แต่คือการโฟกัสความคิดสร้างสรรค์จากทีมผู้สร้างและทีมงานของเราครับ
ความสำเร็จของวาไรตี้ Single’s Inferno เราจะได้เห็นรายการทำนองนี้อีกไหมในปีนี้
สิ่งที่เราประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากคือ รายการที่ไม่มีสคริปต์อย่าง Single’s Inferno ที่เปิดตัวเมื่อปลายปีที่แล้ว เรารู้ว่ารายการนี้น่าจะได้รับความนิยมในเกาหลี แต่เราประหลาดใจมากที่มันได้รับความนิยมในประเทศอื่นๆ เช่นกัน
ดังนั้นเราจึงวางแผนว่าจะผลิตซีรีส์ที่ไม่มีสคริปต์มากขึ้น ไม่ใช่แค่รายการออกเดต แต่รวมไปถึงซีรีส์ที่ไม่มีสคริปต์อื่นๆ ซึ่งเรามีกลุ่มผู้ชมที่เข้มแข็งมากสำหรับคอนเทนต์ประเภทนี้
อย่างที่ทราบ เกาหลีใต้นั้นมีกลุ่มผู้สร้างสรรค์งานคอนเทนต์ที่แข็งแกร่ง มีผู้กำกับจำนวนมากที่เป็นที่รู้จักทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก ดังนั้นเราจึงรู้สึกตื่นเต้นมากที่จะได้นำเสนอคอนเทนต์ของเราในประเภทต่างๆ ที่หลากหลายมากขึ้น เรามุ่งเน้นที่จะนำเสนอความหลากหลายในความคิดสร้างสรรค์ฉบับเกาหลี ไม่ใช่แค่เน้นไปที่ประเภทใดประเภทหนึ่ง หรือเพียงแต่ประเภทที่มีคนชื่นชอบอยู่แล้ว
เพราะผมมั่นใจว่าทุกๆ คนมีรสนิยมที่แตกต่างกัน ผู้คนมีความต้องการที่แตกต่างกัน และบางทีในคนคนเดียวกันก็มีความต้องการความบันเทิงที่หลากหลายกันตามอารมณ์ ดังนั้นความหลากหลายคือสิ่งที่เรามุ่งมั่นสร้างให้เกิดขึ้นต่อไปครับ
รายการวาไรตี้ที่ไม่มีสคริปต์เป็นคอนเทนต์อีกหนึ่งประเภทที่เราสนใจมากๆ และเราก็กำลังพัฒนากันอยู่ในเกาหลีด้วย ในทีมครีเอทีฟคอนเทนต์ของเรา มีทีมที่ทำงานด้านรายการวาไรตี้ที่ไม่ใช้สคริปต์โดยเฉพาะเลยครับ ซึ่งพวกเขาจะทำงานกับนักสร้างสรรค์คอนเทนต์ในวงการบันเทิงของเกาหลีที่มีอยู่มากมาย ดังนั้น ใช่ครับ คุณจะได้เห็นรายการทำนองนี้ตามมาอีกแน่นอน
คุณหาจุดสมดุลระหว่างการซื้อลิขสิทธิ์คอนเทนต์จากภายนอกและคอนเทนต์โดย Netflix อย่างไร
ผลงานคอนเทนต์เกาหลีทั้ง 25 เรื่องที่เราประกาศในวันนี้เป็นเพียงผลงานโดย Netflix เท่านั้น มีอีกหลายเรื่องที่คุณสามารถเรียกได้ว่าเป็น Pre-buy, Licensing หรือการร่วมผลิตที่เรามีแผนร่วมลงทุน อาจจะเป็นจำนวนที่เท่าๆ กัน
ถ้าคุณดูจากไลน์อัพของเราในปีนี้ จะเห็นได้ว่าเรายังคงโฟกัสความเข้มข้นที่เพิ่มขึ้นของทั้งภาพยนตร์และและซีรีส์ นอกจากนั้นยังมีคอนเทนต์อีกมากมายที่ผลิตโดยสถานีโทรทัศน์หรือสตูดิโอในประเทศเกาหลี ที่แสดงให้เห็นอีกมิติหนึ่ง ซึ่งจะเป็นละครแนวโรแมนติกคอเมดี้หรือแนวที่ดูสบายๆ มากกว่า สิ่งที่เราให้ความสนใจมากจริงๆ คือการตอบสนองความต้องการของสมาชิก และมอบคอนเทนต์ที่หลากหลายให้แก่พวกเขา ซึ่งเราได้วางแผนไว้ว่าจะผลิตผลงานแนวโรแมนติกคอเมดี้ให้เยอะขึ้น เราคิดว่าความสมดุลคือสิ่งที่สำคัญที่สุดครับ
จากไลน์อัพคอนเทนท์เกาหลี Netflix 2022 มีอะไรน่าตื่นเต้นกับอะไรเป็นพิเศษบ้าง อยากให้คุณเล่าให้ฟัง
All of Us Are Dead เป็นเรื่องราวของซอมบี้ เชื่อว่าหลายคนคงสงสัยว่ามีเรื่องเกี่ยวกับซอมบี้ออกมาเยอะแล้ว ครั้งนี้จะมาไม้ไหนได้อีก สำหรับผมคิดว่าเรื่องนี้แตกต่างมาก และผู้สร้างทำได้ดีมากในการผลิตสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเกาหลี แม้ว่าจะเป็นซอมบี้ แต่เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโรงเรียนที่มีข้อจำกัด ตัวละครเป็นเพียงนักเรียนมัธยมที่พยายามต่อสู้เพื่อเอาตัวรอดจากหายนะในครั้งนี้ ผมคิดว่าการมีองค์ประกอบของโรงเรียนและนักเรียน มันจะบอกเล่าซอมบี้ในโทนเรื่องที่ต่างกันมาก
และผมเองก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ตั้งตารอคอยซีรีส์เรื่องนี้ Juvenile Justice ที่จะเข้าฉายในเดือนกุมภาพันธ์ เป็นเรื่องเกี่ยวกับระบบความยุติธรรมของเด็กและเยาวชนในเกาหลี ผมเชื่อว่าประเทศต่างๆ มีระดับของความขัดแย้งทางสังคม ปัญหาการเมืองทางสังคมเกี่ยวกับอาชญากรรมที่กระทำโดยกลุ่มประชากรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะเช่นกัน ผมคิดว่ามันเป็นเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเล่าเรื่องประเภทนี้ ซึ่งทำให้ผู้คนมีโอกาสได้ฉุกคิดเกี่ยวกับปัญหานี้อีกครั้ง ดังนั้นผมคิดว่าสิ่งนี้จะมีความเกี่ยวข้องและมีผลกระทบเป็นอย่างมากต่อสังคมในเกาหลี
และยังมีภาพยนตร์ราว 2-3 เรื่อง Love and Leashes มีความสดใหม่มาก จะเปิดตัวในช่วงวันวาเลนไทน์ เป็นเรื่องราวที่ให้ความรู้สึกดีๆ แก่นของเรื่องก็มีความพิเศษที่ทำให้เราต้องพูดถึง ดังนั้นผมจึงตั้งตารอเรื่องนี้อีกเรื่องหนึ่งเช่นกัน และผมไม่สามารถข้ามเรื่องนี้ไปได้ La Casa de Papel เวอร์ชันเกาหลี หรือ Money Heist: Korea-Joint Economic Area เป็นการนำเรื่องราวที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลกมาตีความในฉบับเกาหลี เป็นหนึ่งในเรื่องที่ผมตั้งตารอในปีนี้เช่นกันครับ
ภาพ: Netflix