ข้อสังเกตจากนักลงทุนญี่ปุ่นกำลังสะท้อนความท้าทายในการทำธุรกิจแบบกิจการร่วมทุนในประเทศไทย เมื่อรายงานของ Nikkei Asia อ้างถึงผู้บริหารบริษัทที่ปรึกษาญี่ปุ่นรายหนึ่งที่เปิดเผยว่า ได้รับการปรึกษาจากผู้ค้าปลีกขนาดกลางสัญชาติญี่ปุ่นปีละ 2-3 ราย กรณีที่พันธมิตรชาวไทยมีส่วนร่วมในการดำเนินงานน้อยกว่าที่คาดการณ์ แต่กลับได้รับส่วนแบ่งผลกำไรที่ ‘ค่อนข้างสูง’
ประเด็นเหล่านี้เกิดขึ้นภายใต้โครงสร้างทางกฎหมายที่มักกำหนดให้ฝ่ายไทยถือหุ้นข้างมาก และกำลังเป็นที่สนใจผ่านกรณีข้อพิพาทเรื่อง Nescafé ระหว่าง Nestle บริษัทอาหารระดับโลก และ PM Group กลุ่มทุนไทย ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ
สถานการณ์ดังกล่าวไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ แต่เป็น ‘ประเด็นสำคัญ’ ที่บริษัทญี่ปุ่นราว 5,800 แห่ง ที่ดำเนินกิจการในไทยให้ความสนใจ เพราะโครงสร้างการร่วมทุนที่ซับซ้อน ซึ่งพันธมิตรไทยมักมีอำนาจตัดสินใจผ่านการถือหุ้นส่วนใหญ่ อาจนำไปสู่ความขัดแย้งเมื่อผลประโยชน์ไม่สอดคล้องกัน
ตัวอย่างเช่น กรณีของ FamilyMart เชนร้านสะดวกซื้อจากญี่ปุ่น ที่ตัดสินใจถอนตัวจากตลาดไทยในปี 2023 หลังสิ้นสุดสัญญากับ Central Group โดยให้เหตุผลถึงอุปสรรคในการปรับเปลี่ยนสินค้าให้สอดรับกับความต้องการของตลาดท้องถิ่น อันเนื่องมาจาก ‘กระบวนการตัดสินใจ’ ภายในรูปแบบกิจการร่วมทุน
กรณีระหว่าง Nestle และ PM Group ยิ่งเน้นย้ำให้เห็นถึงความซับซ้อนนี้ โดย Nestle แสดงความต้องการที่จะยุติกิจการร่วมทุน Quality Coffee Products ซึ่งดำเนินการผลิตและจัดจำหน่าย Nescafé มาตั้งแต่ปี 1989 แต่ได้รับการคัดค้านจาก PM Group นำไปสู่กระบวนการทางกฎหมาย
ต้นตอของความขัดแย้งครั้งนี้ดูเหมือนจะมาจากความคิดเห็นที่ไม่ตรงกันเกี่ยวกับแนวทางกลยุทธ์และการแบ่งปันผลประโยชน์แม้ว่า Nescafé จะครองส่วนแบ่งตลาดกาแฟสำเร็จรูปในไทยสูงถึง 67% ในปี 2024 ตามข้อมูลของ Euromonitor และตลาดกาแฟโดยรวมของไทย ซึ่งรวมถึงกาแฟสำเร็จรูป เติบโตถึง 50% ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา มีมูลค่าตลาดราว 3.6 หมื่นล้านบาท แต่ทั้งสองบริษัทก็ดูเหมือนจะไม่สามารถหาข้อตกลงที่เอื้อประโยชน์ร่วมกันจากตลาดที่กำลังขยายตัวนี้ได้
ศาลเคยมีคำสั่งระงับการจำหน่าย Nescafé ชั่วคราว ก่อนที่ Nestle จะสามารถกลับมาจำหน่ายได้อีกครั้ง โดยคำตัดสินชี้ขาดคาดว่าจะมีขึ้นในเดือนมิถุนายนนี้
การเคลื่อนไหวเพื่อยุติความร่วมมือกับบริษัทท้องถิ่นยังสะท้อนถึงเสน่ห์ของประเทศไทยที่ ‘เริ่มจืดจาง’ ในสายตานักลงทุนต่างชาติ หากไม่นับรวมผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโควิด อัตราการเติบโตของไทยในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาอยู่ที่ระหว่าง 1% ถึง 4% ซึ่งต่ำที่สุดในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยการชะลอตัวของภาคการผลิตส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ
ผลสำรวจผู้ผลิตญี่ปุ่นโดยธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JBIC) ในปี 2024 ระบุว่า เวียดนามถูกมองว่าเป็นเศรษฐกิจที่มีอนาคตสดใสที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียน ตามมาด้วยอินโดนีเซีย และไทย โดยสัดส่วนคะแนนโหวตของไทยแตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไทยได้แสดงความตระหนักถึงประเด็นเหล่านี้ ซึ่งในช่วงปลายเดือนเมษายน รัฐบาลได้ประกาศแผนการผ่อนปรนข้อจำกัดการลงทุนจากต่างชาติ นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาแก้ไขกฎเกณฑ์ที่กำหนดให้บริษัทไทยต้องถือหุ้นส่วนใหญ่ในบริษัทร่วมทุน
คารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “จะสนับสนุนนักธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือชาวต่างชาติ เพื่อส่งเสริมความสามารถในการแข่งขัน”
ขณะที่ กันตธร วรรณวสุ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Mediator บริษัทที่ปรึกษาในไทย ให้มุมมองว่า คนไทยจำเป็นต้องใช้ประโยชน์จากความเข้าใจตลาดและพนักงานชาวไทยอย่างเต็มที่ เพื่อสร้างความสัมพันธ์แบบได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายกับนักลงทุนต่างชาติ
ภาพ: ถนัดกิจ จันกิเสน / THE STANDARED WEALTH
อ้างอิง: