งานศึกษาของสภาพัฒน์ชี้ว่า หนี้เสียธุรกิจเริ่มขยายวงกว้างจากระดับเล็กสู่ ‘ระดับกลาง’ ห่วงสินเชื่อยังคงกระจุกตัวอยู่แต่กับรายใหญ่ จับตาก่อสร้างเป็นภาคธุรกิจที่มีหนี้เสียสูงสุด
วันนี้ (11 กันยายน) สาลินี บุญตน นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการพิเศษ กองยุทธศาสตร์และการวางแผนเศรษฐกิจมหภาค สศช. เผยว่า จากงานศึกษาของสภาพัฒน์ โดยอาศัยฐานข้อมูลของ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (NCB) พบว่า สินเชื่อภาคธุรกิจมีการฟื้นตัวหลังโควิด-19 แตกต่างกันไป
โดยสาขาก่อสร้างมีการผิดนัดชำระหนี้ หรือมีหนี้เสีย (NPL) เพิ่มขึ้นต่อเนื่องอย่างชัดเจน ขณะที่สาขาการผลิตอื่น ได้แก่ การผลิต การขายส่งและการขายปลีกฯ ที่พักแรมและบริการด้านอาหาร กิจกรรมอสังหาริมทรัพย์ มีคุณภาพสินเชื่อปรับตัวดีขึ้นหลังโควิด-19
อย่างไรก็ตาม สาลินีชี้ว่า คุณภาพสินเชื่อในสาขาการผลิตต่างๆ ที่มีการปรับตัวดีขึ้นหลังโควิด-19 กลับเริ่มส่งสัญญาณแย่ลงในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งสัมพันธ์กับขนาดของการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง
หนี้เสียเริ่มลามสู่ธุรกิจขนาดกลาง
นอกจากการปรับตัวของสินเชื่อที่ด้อยลงในทุกสาขาธุรกิจแล้ว สภาพัฒน์ยังพิจารณาการปรับตัวของสินเชื่อโดยพิจารณาตามขนาดของธุรกิจอีกด้วย ซึ่งสภาพัฒน์ได้แบ่งขนาดบัญชีสินเชื่อธุรกิจตามนิยาม ดังนี้
Super Micro: วงเงินสินเชื่อต่ำกว่า 5 ล้านบาท
Micro: วงเงินสินเชื่อ 5-20 ล้านบาท
Small: วงเงินสินเชื่อ 20-100 ล้านบาท
Medium: วงเงินสินเชื่อ 100-500 ล้านบาท
Large: วงเงินสินเชื่อ 500 ล้านบาทขึ้นไป
เมื่อพิจารณาสินเชื่อของภาคธุรกิจขนาดเล็ก ในกลุ่ม Micro และ Super Micro ซึ่งมีวงเงินต่ำกว่า 20 ล้านบาท พบว่า มีการผิดนัดชำระหนี้อย่างต่อเนื่องในทุกสาขาการผลิต
ส่วนสินเชื่อในกลุ่มธุรกิจขนาดกลาง ซึ่งมีวงเงินตั้งแต่ 20-100 ล้านบาท และมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น ตั้งแต่หลังโควิด-19 เป็นต้นมา กลับเริ่มมีแนวโน้มด้อยลงตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2566 เป็นต้นมา
สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของธุรกิจขนาดเล็ก ที่เริ่มขยายวงกว้างมาสู่ธุรกิจขนาดกลาง
รายเล็กเปราะบาง สินเชื่อกระจุกตัวแต่รายใหญ่
ไม่เพียงเท่านั้น ภาคธุรกิจรายเล็กยังมีความเสียเปรียบภาคธุรกิจขนาดใหญ่ในการเข้าถึงสินเชื่ออีกด้วย ซึ่งหากพิจารณาการกระจายตัวของสินเชื่อนับตั้งแต่ช่วงปี 2554-2567 ที่ผ่านมา พบว่า ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงสินเชื่อมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยกลุ่มนิติบุคคลระดับที่มีมูลค่าสินเชื่อสูงสุดระดับ Top 1% มีการถือครองสินเชื่อเพิ่มขึ้นจากระดับ 60.4% ของสินเชื่อทั้งหมดในปี 2554 เป็น 70.8% ในปี 2567
เมื่อพิจารณากว้างขึ้นในระดับ Top10% พบว่า มีการถือครองสินเชื่อเพิ่มขึ้นจากระดับ 89.0% ของมูลค่าสินเชื่อทั้งหมดในปี 2554 เพิ่มเป็น 91.3% ในปี 2567
ขณะที่นิติบุคคลรายย่อย ในระดับ Super Micro ที่มีวงเงินสินเชื่อต่ำกว่า 5 ล้านบาท มีสัดส่วนมากถึง 59.5% ของนิติบุคคลทั้งหมด แต่กลับมีวงเงินสินเชื่อเพียง 0.3% ของยอดรวมมูลค่าวงเงินสินเชื่อ
ทำให้ในภาพรวมแล้ว วงเงินสินเชื่อภาคธุรกิจยังคงกระจุกตัวอยู่เฉพาะในธุรกิจขนาดใหญ่ ขณะที่คุณภาพสินเชื่อของบัญชีขนาดเล็กมีแนวโน้มด้อยลงอย่างต่อเนื่อง