กองทัพเนปาลกระจายกำลังทหารทั่วกรุงกาฐมาณฑุ เมืองหลวงของประเทศ หวังควบคุมสถานการณ์ความไม่สงบ โดยสั่งให้ประชาชนอยู่แต่ภายในที่พักอาศัย หลังเกิดเหตุประท้วงครั้งใหญ่ ซึ่งรุนแรงสุดในรอบหลายทศวรรษ จนเป็นเหตุให้ เค พี ศรรมะ โอลี นายกรัฐมนตรีเนปาล จะตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 30 คน และมีผู้บาดเจ็บอีกนับพันคน
การประท้วงที่เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 8 กันยายนที่ผ่านมา หลังรัฐบาลประกาศแบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียยอดนิยม อย่าง Facebook, X, และ YouTube พร้อมอ้างเหตุผลเรื่องการไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบใหม่ของกระทรวงการสื่อสารและเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อปราบปรามข่าวปลอมและคำพูดที่สร้างความเกลียดชัง โดยผู้ชุมนุมประท้วง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะ Gen Z ต่างมองว่า มาตรการนี้เป็นการโจมตีเสรีภาพในการแสดงออก จึงเป็นหนึ่งในชนวนเหตุที่นำไปสู่การชุมนุมประท้วงครั้งใหญ่
ประกอบกับเหตุผลเรื่องปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน,โอกาสทางเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ และ ความเหลื่อมล้ำในสังคมเนปาล โดยเฉพาะกรณี Nepo Kids ซึ่งเป็นลูกหลานของนักการเมืองและกลุ่มอีลิตในเนปาลที่ใช้ชีวิตหรูหรา สะดวกสบาย สวนทางกับสภาพความเป็นจริงและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนชาวเนปาลส่วนใหญ่ โดยสถานการณ์โดยรวมได้ยกระดับและบานปลายขึ้น หลังผู้ชุมนุมปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ จนมีผู้เสียชีวิต 19 คน ในการชุมนุมประท้วงวันแรก
โดยกลุ่ม Gen Z ได้ออกมาปฏิเสธเกี่ยวกับการใช้ความรุนแรงในการชุมนุมประท้วง พร้อมระบุว่า การเคลื่อนไหวครั้งนี้ถูก ‘แทรกแซง’ โดย ‘ผู้ฉวยโอกาส’ พร้อมระบุว่า ผู้นำของเนปาลในอนาคตจะต้องปลอดจากการยึดโยงกับพรรคการเมือง ต้องเป็นอิสระโดยสมบูรณ์ และต้องถูกคัดเลือกบนพื้นฐานของความสามารถ ความซื่อสัตย์ และคุณสมบัติที่เหมาะสม เพราะเนปาลต้องการรัฐบาลที่โปร่งใสและมั่นคง ซึ่งทำงานเพื่อประโยชน์ของประชาชน ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ของผู้ทุจริตหรือชนชั้นนำทางการเมือง
ทางด้าน รามจันทระ เปาเฑล ประธานาธิบดีเนปาล เรียกร้องให้ผู้ชุมนุมหันมาร่วมมือเพื่อการแก้ไขปัญหาอย่างสันติ พร้อมเปิดพื้นที่ให้ร่วมหารือถึงเรื่องผู้นำรัฐบาลชั่วคราว โดยบางส่วนเสนอให้ สุศิลา การ์กี อดีตประธานศาลฎีกาหญิงคนแรกของเนปาล นั่งเก้าอี้ผู้นำประเทศชั่วคราว เพื่อคลี่คลายวิกฤตในครั้งนี้ ขณะที่ยังมีกลุ่มผู้ชุมนุมบางส่วนไม่เห็นด้วยกับการเสนอชื่อดังกล่าว
ภาพ: Dipen Shrestha / Anadolu via Getty Images
อ้างอิง:
