วานนี้ (9 เมษายน) หุ้น บมจ.นีโอ คอร์ปอเรท หรือ NEO เข้าเทรดเป็นวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เปิดการซื้อขายที่ 48 บาท บวก 9 บาท หรือ 23.08% โดยระหว่างการซื้อขายขึ้นแตะระดับสูงสุดที่ 48.50 บาท บวก 9.50 บาท หรือ 24.36% ส่วนราคาต่ำสุดลงไปแตะระดับ 42.75 บาท บวก 3.75 บาท หรือ 9.62% ก่อนจะมาปิดการซื้อขายที่ 46.25 บาท บวก 7.25 บาท หรือ 18.59% จากราคา IPO ที่หุ้นละ 39 บาท
ล่าสุดวันนี้ (10 เมษายน) หุ้น NEO ซื้อขายเป็นวันที่สอง ราคาหุ้นยังสามารถบวกเพิ่มขึ้นได้ต่อเนื่อง โดยเปิดการซื้อขายวันนี้ที่ 46.75 บาท บวก 0.50 บาท หรือ 1.08% โดยระหว่างการซื้อขายบวกขึ้นไปแตะระดับสูงสุดที่ 47.25 บาท บวก 1 บาท หรือ 2.16% จากราคาปิดวันก่อนหน้า ส่งผลให้หลังเข้าซื้อขายสองวันทำการ หากเปรียบเทียบที่ระดับราคาสูงสุดของหุ้น NEO วันนี้บวกไปมากกว่า 21% จากราคา IPO ที่ 39 บาท
ด้าน ปัทมา ถกลศรี รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการพาณิชย์ บมจ.นีโอ คอร์ปอเรท กล่าวว่า ตลาดต่างประเทศถือเป็นตลาดสำคัญที่บริษัทเน้นขยายการเติบโต โดยปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากการส่งออกไปตลาดต่างประเทศประมาณ 15% ของรายได้รวม โดยในช่วง 3-5 ปี ตั้งเป้าหมายรายได้จากการส่งออกจะเพิ่มสัดส่วนเป็น 20% ของรายได้รวม โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ CLMV ที่เป็นตลาดหลักของบริษัท ได้แก่ ประเทศกัมพูชา, สปป.ลาว, เมียนมา และเวียดนาม
สำหรับกรณีสถานการณ์สู้รบที่เกิดในเมียนมาในขณะนี้ ปัจจุบันเมียนมามีสัดส่วนประมาณ 5% โดยในปี 2566 ตลาดในเมียนมาเริ่มลดความร้อนแรงลงบ้าง ซึ่งมาจากปัญหาการสู้รบภายในที่มีผลกระทบต่อการจัดจำหน่าย แต่หากการสู้รบสงบลง เชื่อว่าจะสามารถจำหน่ายสินค้าได้ปกติ ทั้งนี้ การเข้าไปดำเนินธุรกิจขายสินค้าในเมียนมา บริษัทไม่ได้เข้าไปด้วยตัวเอง แต่ใช้วิธีการแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายให้เป็นตัวแทนขายสินค้าในเมียนมาแทน
“จริงๆ ธุรกิจเราขยายต่อเนื่อง ตลาด Domestic ก็กำลังเติบโตเยอะมาก ส่วนตลาดเมียนมาเป็นเปอร์เซ็นต์ที่ไม่ได้เยอะมากในพอร์ตส่งออกของบริษัท หรือมีสัดส่วนประมาณ 5% ของพอร์ต” ปัทมากล่าว
ทั้งนี้ NEO ประกอบธุรกิจทำการตลาด ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์สินค้าอุปโภค ซึ่งประกอบด้วยผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน ผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล และผลิตภัณฑ์ของใช้สำหรับเด็ก ภายใต้แบรนด์ที่ประสบความสำเร็จและได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคทั้งหมด 8 แบรนด์ ได้แก่ ไฟน์ไลน์ (Fineline), ดีนี่ (D-nee), บีไนซ์ (BeNice), เอเวอร์เซ้นส์ (Eversense), ทรอส (TROS), วีไวต์ (Vivite), สมาร์ท (Smart) และโทมิ (TOMI) โดย NEO มุ่งมั่นพัฒนาและนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและหลากหลายในราคาที่เหมาะสม เข้าใจความต้องการของผู้บริโภค
NEO มีทุนจดทะเบียนชำระแล้วหลัง IPO 300 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท เสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรกจำนวนรวม 87.5 ล้านหุ้น ประกอบด้วยหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 78 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเดิมของ บมจ.เอฟเอ็นเอส โฮลดิ้งส์ จำนวน 9.5 ล้านหุ้น โดยเสนอขายต่อกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัทและบริษัทย่อย ผู้มีอุปการคุณของบริษัท นักลงทุนสถาบัน และบุคคลตามดุลพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ ในระหว่างวันที่ 28-29 มีนาคม และ 1-2 เมษายน 2567 ในราคาหุ้นละ 39 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 3,042 ล้านบาท และมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 11,700 ล้านบาท โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้น IPO
ด้าน สุทธิเดช ถกลศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.นีโอ คอร์ปอเรท กล่าวว่า บริษัทวางแผนขยายการลงทุนในปี 2567-2570 คาดว่าใช้เงินลงทุน 6,530 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการลงทุนขยายกำลังการผลิตสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน (Household Products) ซึ่งรวมถึงกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือนสำหรับเด็ก เพิ่มกำลังการผลิต 163,200 ตันต่อปี, โครงการขยายกำลังการผลิตสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล (Personal Care Products) ซึ่งรวมถึงกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคลสำหรับเด็ก เพิ่มกำลังการผลิต 18,100 ตันต่อปี และโครงการขยายคลังวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์ และระบบบริหารจัดการคลัง เพิ่มพื้นที่จัดเก็บ 18,200 พาเลต โดยทั้งสามโครงการจะช่วยเพิ่มกำลังการผลิตรวมของบริษัทเป็นประมาณ 416,082 ตันต่อปี และจำนวนพาเลตสำหรับคลังวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์เป็นประมาณ 29,620 พาเลตในปี 2570