ช่วงที่ผ่านมา มีการตั้งข้อสังเกตถึง ‘ความคลาดเคลื่อนสุทธิในดุลการชำระเงิน’ (Net Errors and Omissions: NEO) ของไทยที่สูงขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ว่า ผิดไปจากความคลาดเคลื่อนของตัวเลขสถิติ ‘ที่ดี’ แล้วกังวลว่าเงินจำนวนดังกล่าวเป็นเงินสีเทาที่ไหลเข้าประเทศจนส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น THE STANDARD WEALTH พาฟังคำอธิบายฉบับเต็มจาก โฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ตอบกรณีดังกล่าว ดังนี้
ความคลาดเคลื่อนสุทธิในดุลการชำระเงิน (NEO) คืออะไร?
ชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายองค์กรสัมพันธ์ และโฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อธิบายว่า Net Errors and Omissions (NEO) เป็นตัวเลขที่แสดงความคลาดเคลื่อนเชิงสถิติในการจัดทำข้อมูลบัญชี ดุลการชำระเงิน (Balance of Payments: BOP) ที่ยังไม่สามารถแจกแจงธุรกรรมที่เกิดขึ้นระหว่างคนไทย (Resident) กับชาวต่างชาติ (Non-resident) ว่ามาจากกิจกรรมใด ไม่ว่าจะเป็นการค้าขายสินค้าและบริการ การเปลี่ยนแปลงการถือครองสินทรัพย์ระหว่าง คนไทยกับชาวต่างชาติ
โดยธุรกรรมการชำระ/แลกเปลี่ยนเงิน ซึ่งบางกรณียากที่จะบันทึกได้ครบถ้วน 100% หรือครบถ้วน ตั้งแต่แรก ดังนั้น NEO จึงมาจาก 2 สาเหตุ
- ความล่าช้าของข้อมูล เช่น ข้อมูลการลงทุนโดยตรง (FDI) หรือการส่งกลับกำไรของบริษัทต่างชาติ ที่ต้องรออ้างอิงจากงบการเงินที่รายงานต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
- ความไม่ครบถ้วนและไม่แม่นยำของข้อมูล เช่น ข้อมูลการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวที่หลากหลาย ซึ่งต้องประมาณการจาก Model ก่อนที่จะสอบทานกับข้อมูลการสำรวจของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
NEO สะท้อน ‘เงินทุนสีเทา’ ที่ไม่รู้ที่มาที่ไป แค่ไหน?
โฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ย้ำว่า Net Errors and Omissions (NEO) กับ ‘ความเทา’ ต้องแยกจากกัน เนื่องจากต่อให้เป็นธุรกรรมที่เก็บข้อมูลได้ และอยู่ในดุลการชำระเงิน (BOP) ปกติก็สามารถที่จะมีความเทาได้
“NEO ไม่ได้สะท้อนว่าเป็นเงินสีเทา โดยการถูกบันทึกเป็น NEO เป็นคนละเรื่องกับการบ่งชี้ว่ามาจากธุรกิจสีเทา เพราะ NEO เกิดจากความคลาดเคลื่อนทางสถิติจากการจัดทำข้อมูลดุลบัญชีการชำระเงิน ขณะที่ธุรกรรมสีเทาสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในส่วนที่บันทึกในดุลการชำระเงิน (BOP) ได้และในส่วนที่เป็น NEO” ชญาวดีกล่าว
เปิดตัวอย่าง ‘เงินอาจเทา’ ที่ได้รับการบันทึกไว้ในดุลการชำระเงิน (BOP)
- บริษัทต่างชาติที่อาจเกี่ยวข้องกับธุรกิจสีเทาเข้ามาซื้อหุ้นไทยผ่านตัวกลาง ซึ่งไม่สามารถระบุตัวตนและวัตถุประสงค์ของเจ้าของเงินได้ เงินนั้นจะถูกบันทึกใน BOP ว่าเป็น Portfolio Investment และหาที่มาที่ไปได้ แต่ก็อาจจะเป็นเงินเทาได้
- บริษัท Scammer หลอกเหยื่อ ได้เงินสดมา อาจจะนำเงินนั้นมาซื้อทองในไทยเพื่อฟอกเงิน จะถูกบันทึกเป็นกิจกรรมปกติในดุลการชำระเงิน (BOP) เนื่องจากปัจจุบันในร้านทองรายย่อย ยังมีระบบ KYC ไม่เข้มงวดนัก ซึ่งธุรกรรมนี้ก็สามารถบันทึกและเก็บข้อมูลได้ แต่ก็อาจจะเป็นเงินเทาได้เช่นกัน
“ดังนั้น ความเทา อาจจะอยู่ได้ในหลายๆ ที่ไม่จำเป็นต้องอยู่ใน NEO แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธว่า NEO ไม่มีความเทา การที่เราไม่เห็น ไม่ได้แปลว่าเทา แต่มันเป็นธุรกรรมที่ซับซ้อนเกินไป หรือเรายังไม่มีข้อมูล หรือยากที่จะเก็บได้ทุกเม็ดเท่านั้นเอง แต่ก็อาจจะมีความเทาได้เท่านั้นเอง” ชญาวดีกล่าว
ธปท. ปรับปรุงข้อมูล BOP พบ NEO ปีก่อนลดลง ‘เกินครึ่ง’
เดช ฐิติวณิช ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายระบบข้อสนเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท. ได้ปรับปรุงข้อมูลในบัญชีดุลการชำระเงิน (Balance of Payments: BOP) ประจำปี 2567 ตามรอบปรับปรุงปกติในเดือนกันยายน 2568 ส่งผลให้ตัวเลขที่แสดงความคลาดเคลื่อนเชิงสถิติ (Net Errors and Omissions: NEO) ปี 2567 อยู่ที่ 7.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (2.3 แสนล้านบาท) ซึ่งเป็นการปรับลดลง ‘กว่าครึ่งหนึ่ง’ จาก 15.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งตัวเลขเบื้องต้นที่ประกาศในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เป็นผลจาก 3 ส่วนหลัก ได้แก่
- มูลค่านำเข้ารวมที่ลดลง จากการที่กรมศุลกากรปรับราคาน้ำมันนำเข้าให้เป็นไปตามที่ได้รับข้อมูลจริงจากผู้นำเข้า ซึ่งต่ำกว่าราคาที่กรมศุลกากรได้ประมาณการไว้ในตอนแรก ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัด (Current Account) เพิ่มขึ้น และทำให้ NEO ลดลงไปประมาณ 2.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
- ข้อมูลการลงทุนโดยตรงของนักลงทุนต่างชาติ (FDI) ที่สูงขึ้น ซึ่งปรับตามข้อมูลการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในธุรกิจไทย ที่ปรากฏในงบการเงินที่ธุรกิจทยอยรายงานต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ส่งผลให้ NEO ลดลงไปประมาณ 2.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
- ข้อมูลสินเชื่อการค้า (Trade Credit) ที่เพิ่มขึ้น จากการที่เจ้าหนี้การค้าขยายระยะเวลาการชำระค่าสินค้านำเข้าให้กับภาคเอกชน ทำให้ภาระการจ่ายคืนสินเชื่อการค้าในปี 2567 ลดลง ส่งผลให้ NEO ลดลงประมาณ 4.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งนี้ สำหรับข้อมูล BOP รายปี ธปท. จะเผยแพร่ตัวเลขเบื้องต้นในเดือนมีนาคมของปีถัดไป จากนั้นจะปรับปรุงข้อมูลอีก 2 ครั้ง ในทุกเดือนกันยายน ตัวอย่างเช่น การจัดทำข้อมูล BOP ของปี 2567 จะเผยแพร่ครั้งแรกในเดือนมีนาคมปี 2568 และจะปรับปรุงข้อมูลอีก 2 ครั้ง ในเดือนกันยายน 2568 และเดือนกันยายน 2569
NEO ไทยถือว่าสูงหรือไม่?
ชญาวดี กล่าวว่า ในการพิจารณาว่า NEO สูงหรือไม่ ควรดู NEO เป็นสัดส่วนต่อมูลค่าการค้าระหว่างประเทศโดยรวม เนื่องจากทั่วไปประเทศที่มีการค้าขายและการลงทุนระหว่างประเทศสูง (Openness) จะมี NEO สูงตามไปด้วย ซึ่ง NEO ปี 2567 อยู่ที่ 7.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยปรับลดลงมากว่าครึ่งจาก 15.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
โดยสัดส่วน NEO ต่อมูลค่าการค้าระหว่างประเทศของไทย ในปี 2567 อยู่ที่ 1% ซึ่งน้อยกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปีที่ 1.3% และน้อยกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ 173 ทั่วโลกที่ประมาณ 2.4% และค่าเฉลี่ยกลุ่มเอเชีย 39 ประเทศที่ 3.3% และกลุ่มเอเชียรายได้ปานกลางที่ 1.5%
ทั้งนี้ กลุ่มประเทศเอเชียรายได้ปานกลาง 6 ประเทศ อาทิ จีน 2.8% คาซัคสถาน 2.1% มาเลเซีย 1.3% มองโกเลีย 1.2% อินโดนีเซีย 0.3%
NEO ส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าในช่วงนี้ใช่หรือไม่?
โฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า NEO ไม่ใช่เงินตราต่างประเทศที่ไหลเข้ามาใหม่ในปีนี้ แต่เป็นส่วนหนึ่งใน BOP ของปี 2567 ที่เกิดขึ้นแล้ว เพียงแต่ยังไม่สามารถแจกแจงได้ว่าธุรกรรมเกิดขึ้นจากกิจกรรมใด จึงถูกบันทึกเป็น NEO ทั้งนี้ การบันทึกธุรกรรมเป็น NEO ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อค่าเงินเพิ่มเติม เพราะผลต่อค่าเงินได้เกิดขึ้นแล้วเมื่อธุรกรรมนั้นเกิดขึ้น
“NEO จะมากน้อย ไม่ได้ส่งผลเพิ่มเติมให้กับค่าเงิน นอกจากนี้ ปีที่แล้วที่ตัวเลข NEO เยอะๆ แต่เงินบาทแข็งค่าเพียง 0.1% ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ต่างจากตอนนี้” ชญาวดี กล่าว
ถ้าไม่ใช่ NEO แล้วอะไรที่ส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าในปีนี้
ภาวิณี จิตต์มงคลเสมอ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายตลาดการเงิน กล่าวว่า ปัจจัยหลักที่ทำให้ค่าเงินบาท (เทียบกับดอลลาร์สหรัฐ) ‘แข็งค่า’ มาจากการคาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) จากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอลง ประกอบกับแรงกดดันจากปัจจัยเฉพาะ ทั้งดุลบัญชีเดินสะพัด (Current Account) ที่เกินดุลมากกว่าคาด สถานการณ์การเมืองของไทยที่มีเสถียรภาพมากขึ้น รวมถึงราคาทองคำที่เพิ่มขึ้นมาก
“ในช่วง 2-3 ปีหลัง ธปท. เห็นว่ามีธุรกรรมซื้อ-ขายเงินบาทตามการเคลื่อนไหวของราคาทองคำ (Correlation Trade) เพิ่มขึ้นมาก ซึ่งสาเหตุมาจากพฤติกรรมการซื้อ-ขายทองคำของคนไทย โดยราคาทองคำมักปรับสูงขึ้นในช่วงที่เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า เมื่อราคาทองเพิ่มขึ้น คนไทยจะขายทอง ทำให้ร้านทองต้องไปขายทองคำในตลาดต่างประเทศ และเมื่อได้เงินตราต่างประเทศจึงนำมาแลกเป็นเงินบาท ทำให้การแข็งค่าของเงินบาทรุนแรงขึ้น
และในกรณีที่เงินดอลลาร์สหรัฐ ปรับแข็งค่า ราคาทองคำลดลง ก็จะเกิดธุรกรรมตรงกันข้าม จนราคาทองคำกลายเป็นปัจจัยที่ amplify การเคลื่อนไหวของเงินบาททั้งสองด้าน โดยแม้ไทยจะเป็นประเทศผู้นำเข้าทองคำสุทธิ แต่เห็นได้ว่าผลต่อค่าเงินในแต่ละช่วงจะขึ้นกับจำนวนธุรกรรมด้านซื้อและด้านขายช่วงเวลานั้น (gross basis) เนื่องจากปีนี้ทองคำขึ้นไปกว่า 40% จึงเป็นแรงกดดันด้านแข็งค่ามากกว่าสกุลอื่น” ภาวิณี กล่าว
ข้อมูลทองคำและ cryptocurrency ธปท. เห็น/ไม่เห็นข้อมูลอะไรบ้าง?
ธปท. เห็นข้อมูลการทำธุรกรรมแลกเปลี่ยนเงินที่ทำผ่านผู้ให้บริการที่อยู่ใต้กำกับ เช่น สถาบันการเงินทั้งหมด ซึ่งรวมถึงธุรกรรมแลกเปลี่ยนเงินของบริษัททองคำและธุรกรรมแลกเปลี่ยนเงินที่มีวัตถุประสงค์เพื่อซื้อ-ขายสินทรัพย์ดิจิทัล
กรณีทองคำ: นอกจากข้อมูลธุรกรรมแลกเปลี่ยนเงินแล้ว ธปท. จะนำข้อมูลนำเข้า-ส่งออกทองคำจากกรมศุลกากร มาประกอบการจัดทำข้อมูล BOP ด้วย โดยที่ผ่านมา ข้อมูลจากกรมศุลกากรและข้อมูลธุรกรรมแลกเปลี่ยนเงินจากสถาบันการเงินเป็นไปในทิศทางที่สอดคล้องกัน
อย่างไรก็ดี ธปท เห็นเฉพาะข้อมูลการนำเข้า-ส่งออกทองคำที่รายงานต่อกรมศุลกากร แต่ไม่ทราบวัตถุประสงค์ของการนำเข้า-ส่งออก รวมถึงไม่เห็นข้อมูลการลักลอบนำเข้า-ส่งออก หรือความผิดปกติอื่นๆ ซึ่งต้องอาศัยการตรวจสอบเชิงลึกจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
กรณีของ cryptocurrency: ธปท. มีข้อมูลการทำธุรกรรมแลกเปลี่ยนเงินเฉพาะที่ระบุวัตถุประสงค์เพื่อซื้อ-ขาย cryptocurrency ไม่ว่าจะเป็นการแลกเปลี่ยนเงินของผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล หรือนิติบุคคลและบุคคลธรรมดา จึงจำเป็นต้องนำข้อมูลการซื้อขาย cryptocurrency ที่รายงานต่อสำนักงาน ก.ล.ต. มาประกอบด้วย เพื่อลดความคลาดเคลื่อนของข้อมูล และสอบทานความถูกต้องได้ดีขึ้น
แบงก์ชาติชี้ หน้าที่ตรวจสอบ ‘เงินเทา’ เป็นของ ปปง.?
ธปท. ยังระบุอีกว่า การตรวจสอบว่าเป็นธุรกรรมสีเทาหรือไม่ เป็นหน้าที่ของสำนักงาน ปปง. ซึ่งเป็นผู้กำกับดูแลหลักในเรื่องการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
ขณะที่ ธปท. มีบทบาทในการกำกับดูแลให้สถาบันการเงินปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ AML/CFT ที่สำนักงาน ปปง. กำหนดและรายงานธุรกรรมต้องสงสัยต่อสำนักงาน ปปง. เพื่อดำเนินการตรวจสอบต่อไป
ธปท. มีแนวทางในการดำเนินการอย่างไร? เพื่อป้องกันธุรกรรมสีเทา
ธปท. ไม่ต้องการเห็นธุรกิจหรือธุรกรรมในประเทศไปเกี่ยวข้องการทุจริตในทุกมิติ และได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ดังนี้
(1) การสนับสนุนการใช้ดิจิทัลในภาคการเงิน เช่น พร้อมเพย์ เพื่อให้การทำธุรกรรมมี digital footprints และสามารถตรวจสอบธุรกรรมได้
(2) การออกหลักเกณฑ์การรู้จักลูกค้า ได้แก่ Know Your Customer (KYC) Customer Due Diligence (CDD) และ Enhanced Due Diligence (EDD) การออกมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาบัญชีม้า รวมถึงการกำกับดูแลให้สถาบันการเงินปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ AML/CFT ของสำนักงาน ปปง. อย่างเคร่งครัด
(3) การแสดงความกังวลต่อการจัดตั้งศูนย์กลางทางการเงิน (Financial Hub) ที่อาจมีกฎเกณฑ์ที่ผ่อนคลายมากกว่าปกติ จึงควรมีแนวทางปิดช่องโหว่ในมิติต่างๆ ให้พร้อมก่อน เพื่อลดความเสี่ยงการถูกใช้เป็นแหล่งสนับสนุนธุรกรรมทางการเงินที่ไม่ถูกกฎหมาย
(4) การมีท่าทีที่สะท้อนความระมัดระวังในการนำ cryptocurrency มาใช้ในธุรกรรมทางการเงิน โดยเฉพาะในช่องทางที่ไม่ถูกกำกับดูแล ซึ่งมีโอกาสถูกใช้เป็นเครื่องมือในการฟอกเงิน เนื่องจากยากต่อการติดตามและตรวจสอบ
ธปท. ได้จัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจ ติดตามพัฒนาการของธุรกรรม
ทั้งนี้ ภายใต้ความเชื่อมโยงที่ซับซ้อนขึ้นของกิจกรรมในภาคการเงิน ธปท. ได้จัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจ (task force) เพื่อติดตามพัฒนาการของธุรกรรมในหลากหลายมิติ รวมทั้งนำข้อมูลไปใช้ในการออกแบบนโยบาย และประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการตรวจสอบได้ทันการณ์ นอกจากนี้ ยังร่วมมือกับหน่วยงานอื่นๆ เช่น สำนักงาน ก.ล.ต. สศช. เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนยิ่งขึ้น และเพิ่มศักยภาพในการติดตามธุรกรรมต่างๆ รวมทั้งประสานกับหน่วยงานที่มีอำนาจตรวจสอบ เช่น สำนักงาน ปปง. เมื่อมีธุรกรรมที่มีเหตุอันควรสงสัย ซึ่งจะช่วยลดโอกาสการเกิดธุรกรรมสีเทา
ภาพ: Shutterstock AI