×

ซูเปอร์บอร์ด กสทช. ค้านควบรวม ‘TRUE-DTAC’ แนะดูข้อกฎหมายใหม่ และคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของประชาชน

24.03.2022
  • LOADING...
TRUE-DTAC

ซูเปอร์บอร์ด กสทช. ยื่นหนังสือต่อ กสทช. ขอให้ปฏิบัติตามหน้าที่และอำนาจที่กฎหมายบัญญัติ และให้นำประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการควบรวมและการถือหุ้นไขว้ในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 กลับมาใช้หรือเป็นแนวปฏิบัติ หวังระงับดีล ‘TRUE-DTAC’ ควบรวมกิจการ ระบุควรคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของประชาชน 

 

วันนี้ (24 มีนาคม) ณภัทร วินิจฉัยกุล ซูเปอร์บอร์ด กสทช. หรือกรรมการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงาน กสทช. ได้เข้ายื่นหนังสือต่อ พล.ต.ต. เลิศศักดิ์ วิทยาพันธุ์ เลขานุการ กรรมการ กิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. เรื่องขอให้ปฏิบัติตามหน้าที่และอำนาจที่กฎหมายบัญญัติ และยกเลิกประกาศ กสทช. เรื่อง มาตรการกำกับดูแลการรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2561 แล้วนำประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการควบรวมและการถือหุ้นไขว้ในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 กลับมาใช้ หรือนำออกมาเป็นแนวปฏิบัติ เพื่อออกประกาศใหม่ที่มีมาตรฐานเดียวกันมาใช้ ในการประกอบการพิจารณาดำเนินการเพื่อมีคำสั่งไม่ให้มีการควบรวมกิจการของ บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) หรือ กลุ่มบริษัททรู กับ บมจ. โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) หรือ กลุ่มบริษัท DTAC

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มาตรา 60 คือการจัดสรรคลื่นความถี่ต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน ความมั่นคงของรัฐ และประโยชน์สาธารณะ เพราะฉะนั้นการนำคลื่นความถี่มาใช้ในกิจการของภาคเอกชนจำเป็นต้องคำนึงถึง 3 ส่วนนี้เป็นสำคัญ หากการกระทำใดที่ขัดกับประโยชน์ของภาคประชาชน สาธารณชน และประเทศชาติ ก็เป็นสิ่งที่มีความสุ่มเสี่ยงต่อการขัดต่อกฎหมาย จะทำให้ประชาชนเคลือบแคลงสงสัย ซึ่ง กสทช. ก็ต้องมีคำตอบที่ชัดเจน เพื่อรักษาผลประโยชน์ให้เกิดขึ้นสูงสุดกับผู้ใช้บริการและประชาชน รวมถึงศักยภาพทางการแข่งขันของอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทย

 

ณภัทรกล่าวว่า ในฐานะของนักกฎหมาย นักบริหาร และกรรมการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงาน กสทช. ที่มีบทบาทหน้าที่ในการรักษาผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ ในการตรวจสอบการทำงานของสำนักงาน กสทช. ในเรื่องต่างๆ โดยเฉพาะในประเด็นของ TRUE กับ DTAC ที่กำลังจะควบรวมกิจการกันนั้น ได้รับความสนใจจากประชาชนและสื่อมวลชนเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นการควบรวมกิจการของธุรกิจหลักที่เป็นโครงสร้างการสื่อสารของประเทศที่มีมูลค่าสูงกว่าหมื่นล้านบาท อีกทั้งยังมีการตั้งคำถามจากสังคมในหลายกรณี โดยเฉพาะผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อประชาชนโดยตรง คือการมีอำนาจเหนือตลาด ใช้กลยุทธ์การแข่งขันที่เอาเปรียบผู้บริโภค ทำให้ค่าบริการสูงขึ้น คุณภาพการให้บริการต่ำลง และกดดันผู้ประกอบการรายเล็ก ซึ่งการกระทำที่ผ่านมาของ กสทช. ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงการใช้อำนาจหน้าที่ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลเพื่อรักษาผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติอย่างที่ควรจะเป็น

 

ณภัทรกล่าวอีกว่า การยื่นหนังสือต่อ กสทช. ในครั้งนี้ ถือเป็นการทำงานครั้งสำคัญที่จะกระตุ้นเตือนให้ กสทช. ได้พิจารณาใช้อำนาจหน้าที่ที่มีในการตัดสินใจเรื่องสำคัญที่อาจส่งผลต่ออุตสาหกรรมโทรคมนาคมของประเทศ ดังนั้น หากไม่มีการพิจารณาให้รอบคอบถูกต้องตามหลักการและครอบคลุม รวมถึงการเชิญชวนภาคส่วนต่างๆ ทั้งนักวิชาการ สถาบันการศึกษา สภาคุ้มครองผู้บริโภค มาร่วมกันศึกษาถึงข้อมูล วิเคราะห์ถึงข้อเท็จจริงของผลกระทบจากการแข่งขันและผลที่เกิดขึ้นให้ครบถ้วน สุดท้ายผลกระทบก็จะตกอยู่กับประชาชนที่ต้องแบกรับค่าบริการที่สูงขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการมีอำนาจเหนือผู้บริโภค พร้อมทั้งกระทบต่อภาพลักษณ์ประเทศที่แสดงถึงหลักการที่ขัดแย้งกับการแข่งขันเสรี

 

“ถ้าว่ากันด้วยหลักการและเหตุผล การทำงานของ กสทช. ชุดนี้ต้องรอคณะกรรมการ กสทช. ชุดใหม่ที่มีการแต่งตั้งแล้ว รอแค่กระบวนการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งก็สามารถเข้าปฏิบัติงานได้ทันที เพราะมีหลายเรื่องสำคัญที่รออยู่ เพียงแต่คณะกรรมการชุดนี้ต้องปฏิบัติหน้าที่ของท่าน อย่าทำผิดกฎหมาย และท่านต้องสื่อสารให้สาธารณะรับทราบข้อมูลในเรื่องนี้ และมีประเด็นย่อยในกระบวนการทำงานของ กสทช. ที่มีหลักการกฎหมายที่เขียนไว้ว่า ท่านต้องรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ แต่ว่ากรณีนี้ กระบวนการรับฟังสาธารณะท่านเชิญแต่โอเปอเรเตอร์ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่ได้เชิญภาคประชาชนเข้าไป ซึ่งเป็นไปตามพระราชบัญญัติการจัดสรรคลื่นมาตรา 28 เขียนไว้เป็นบทบัญญัติสำคัญเลยว่าท่านต้องทำเช่นนี้ และเป็นที่น่าแปลกใจว่าทำไมท่านถึงไม่ทำ เพราะเป็นเรื่องที่กระทบกับเราโดยตรง ทำให้พวกเราเกิดความไม่มั่นใจ กังวลใจ เรื่องเช่นนี้ท่านกำลังทำอะไรอยู่ ท่านได้ตระหนักถึงผลส่วนรวมของประเทศชาติ และพี่น้องประชาชนหรือไม่” ณภัทรกล่าว 

 

เขากล่าวเพิ่มว่า อยากให้ กสทช. ได้ทบทวนถึงกรอบอำนาจและหน้าที่ตามที่กฎหมายบัญญัติอย่างเต็มความสามารถ ในการพิจารณาการควบรวมของ TRUE และ DTAC เพื่อไม่ให้เป็นข้อกังขาของสังคม ซึ่ง กสทช. กำลังทำผิดกฎหมายตามบทบัญญัติของทั้ง พ.ร.บ.กสทช และรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 60 ในเรื่องของการจัดสรรคลื่นความถี่ รวมถึงในมาตรา 157 ในเรื่องของละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานรัฐในการทำงานเพื่อรักษาผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศเป็นที่ตั้ง ตามพันธกิจในการกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมอย่างมีประสิทธิภาพโปร่งใส

 


 

ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH


Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X