วันนี้ (19 กันยายน) ศาลฎีกา มีคำพิพากษาในคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 5 เป็นโจทก์ฟ้องแกนนำและแนวร่วมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ในความผิดฐานบุกรุกและทำลายทรัพย์สินของสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (NBT) เมื่อปี 2551 โดยศาลได้พิพากษา ยกฟ้อง จำเลย 3 คน ได้แก่ อัญชะลี ไพรีรัก, ภูวดล ทรงประเสริฐ และยุทธิยง ลิ้มเลิศวาที ขณะที่จำเลยที่ 4 คือ ชิติพัทธ์ ลิ้มทองกุล ได้รับโทษจำคุก 6 เดือนโดยไม่รอลงอาญา
ศาลฎีกาพิจารณาสำนวนคดีและพยานหลักฐานแล้วเห็นว่า ในส่วนของจำเลยที่ 1-3 พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักน้อยและยังเป็นที่น่าสงสัย ทั้งในเรื่องเวลาที่เดินทางไปถึง NBT และประเด็นที่ว่าจำเลยทั้งสามให้คำปรึกษา สั่งการ หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำของกลุ่มมวลชนหรือไม่ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยทั้งสาม และพิพากษายกฟ้องตามฎีกาของจำเลย ซึ่งตรงกันข้ามกับคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์
สำหรับจำเลยที่ 4 ชิติพัทธ์ ลิ้มทองกุล ศาลเห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์สอดคล้องกันและมีน้ำหนัก โดยระบุว่า ชิติพัทธ์เป็นผู้สั่งการให้มวลชนบุกรุกและทำลายทรัพย์สิน นอกจากนี้ยังมีการข่มขู่เจ้าหน้าที่ให้หยุดปฏิบัติหน้าที่โดยนับถอยหลัง 1-60 ทำให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินของทางราชการกว่า 600,000 บาท
อย่างไรก็ตาม ศาลเห็นว่าโทษที่ศาลล่างทั้งสองตัดสินมานั้นหนักเกินไป จึงลดโทษให้เหลือจำคุก 8 เดือน และลดโทษให้อีก 1 ใน 4 เนื่องจากคำให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดี ทำให้คงเหลือโทษจำคุก 6 เดือนโดยไม่รอลงอาญา
ภายหลังการอ่านคำพิพากษา มวลชนจำนวนหนึ่งที่มารอฟังผลได้ส่งเสียงโห่ร้องและปรบมือด้วยความดีใจ ขณะที่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้ควบคุมตัวชิติพัทธ์ ลิ้มทองกุล ไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร
ด้านอัญชะลี สื่อมวลชนอาวุโส หนึ่งในจำเลยที่ได้รับการยกฟ้อง ได้เปิดเผยความรู้สึกว่า ตลอด 15 ปีที่ผ่านมาถือเป็นบทเรียนของชีวิตและรู้สึกโล่งใจกับคำตัดสินที่เกิดขึ้น กล่าวขอบคุณกระบวนการยุติธรรม และยืนยันว่าหลังจากนี้จะทำหน้าที่สื่อมวลชนที่ดีเพื่อรับใช้ประชาชนและประเทศชาติ พร้อมกล่าวว่าคดีนี้ถือเป็นคดีสุดท้ายในชีวิต
เมื่อถามถึงความรู้สึกก่อนหน้าการตัดสิน อัญชะลีระบุว่า ได้เตรียมใจมาโดยตลอดและยืนยันว่าสิ่งที่ทำไปเป็นการกระทำบนพื้นฐานของความคิดและความเชื่อที่รอบคอบ นอกจากนี้ยังระบุอีกว่าจะยังคงทำหน้าที่ในฐานะสื่อมวลชนและประชาชนต่อไป หากเห็นสิ่งใดที่ไม่ถูกต้องก็จะเข้าช่วยเหลือประชาชนเพื่อแก้ไขสิ่งเหล่านั้นให้ถูกต้อง