วันนี้ (26 พฤศจิกายน) ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส. แบบบัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร พร้อม สส. พรรคประชาชน ร่วมติดตามสถานการณ์ในพื้นที่ภาคใต้ เผยว่า ภารกิจวันนี้ได้เดินทางออกจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) ช่วงเช้า จากนั้นจึงได้เดินทางไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราวมหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา ที่ดูแลผู้อพยพราว 2,000 คนและมีอาสาสมัครที่เป็นหน่วยกู้ภัยจากเทศบาลนครสงขลาราว 30-40 คน มีโรงครัวอาสา มีทีมงานทั้งที่เป็นอาจารย์ อาสาสมัครและนักศึกษาบางส่วนช่วยดูแลอยู่
โดยศูนย์พักพิงชั่วคราว ม. ราชภัฏสงขลามีความพร้อม ในการผลิตอาหารวันละประมาณ 2,500 กล่อง โดยสามารถนำอาหารส่วนหนึ่งที่ผลิตได้แจกจ่ายไปยังผู้ประสบภัยนอกศูนย์พักพิงด้วย อย่างไรก็ดี ที่ศูนย์พักพิงแห่งนี้ยังมีวัตถุดิบอาหารสดสำรองไม่มากนัก ต้องจัดหาเพิ่มเติมแบบวันต่อวันอยู่ ซึ่งยังค่อนข้างแตกต่างจากศูนย์พักพิงที่ ม.อ. ซึ่งมีทรัพยากรพร้อมกว่า และมีคลังวัตถุดิบอาหารสดสำรองสำหรับหลายวัน
ณัฐพงษ์ระบุว่า สิ่งที่ศูนย์พักพิงชั่วคราวมหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลายังไม่ได้ดำเนินการ คือการมีทีมงานที่บริหารจัดการหน้างาน เช่น การจดบันทึกว่าผู้ประสบภัยเข้ามาที่ศูนย์แล้วกี่คน เป็นใครบ้าง มีกลุ่มเปราะบางมากน้อยเพียงใด และการบริหารจัดการสต็อคสิ่งของต่าง ๆ ที่มีความต้องการ ซึ่งควรเพิ่มเติมการบริหารจัดการในจุดนี้ เพื่อให้การบริหารจัดการมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ณัฐพงษ์ได้ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการประสานงานมูลนิธิและภาคส่วนต่างๆ ระดมสรรพกำลังมาช่วยสนับสนุนที่ศูนย์พักพิงชั่วคราว ม.ราชภัฎ เพิ่ม ด้วยการประสานไปยังค่ายเสนาณรงค์ว่าให้สนับสนุนวัตถุดิบอาหารไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราว ม.ราชภัฏสงขลาบ้าง ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ที่ดูแลค่ายเสนาณรงค์แจ้งว่า ทางค่ายเสนาณรงค์มีความพร้อมในการสนับสนุน ม.ราชภัฏ หากได้รับการร้องขอ
“ประเด็นนี้เป็นจุดนี้สำคัญที่ต้องเร่งประสานงานและบูรณาการการทำงานโดยเร็ว เพราะในขณะนี้ยังมีศูนย์พักพิงอื่น ๆ ทั้งที่ถูกประกาศโดยรัฐ และศูนย์พักพิงอิสระที่ประชาชนดูแลกันเองกระจายตัวอยู่ในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็น ม.ทักษิณ และที่อื่น ๆ ด้วย ณัฐพงษ์จึงอยากให้ทางส่วนราชการ โดยเฉพาะ มทบ. 42 ประสานงานไปยังทุกศูนย์พักพิงให้ครบถ้วน จะได้รู้ว่าศูนย์ไหนขาดอะไร จะได้สนับสนุนทรัพยากรที่จำเป็นกันได้อย่างทั่วถึง” ณัฐพงษ์กล่าว
พรรคประชาชนได้เข้าร่วมกับเครือข่ายภาคประชาสังคมและประชาชนในพื้นที่ เพื่อช่วยสนับสนุนภารกิจการช่วยเหลือผู้ประสบภัย เช่น ได้ประสานงานกับมูลนิธิกระจกเงา ให้พิจารณามาประจำจุดที่ศูนย์พักพิงที่มีความต้องการการสนับสนุนมากที่สุดก่อนเป็นลำดับแรก
ขณะเดียวกัน ก็ให้การสนับสนุนอุปกรณ์จำเป็น เช่น โดรนจับความร้อนเพิ่ม 2 ตัวและโดรนส่งของอีก 3 ตัว มาพร้อมกับ Operator หรือคนขับโดรน เพื่อทำให้หน่วยกู้ภัยจากนครศรีธรรมราชที่ได้ทำงานร่วมกับ สส. ภคมน หนุนอนันต์ และได้เดินทางมาร่วมสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ในหาดใหญ่ในครั้งนี้ ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากขึ้น
ในส่วนของการบริหารจัดการภัยพิบัติ ณัฐพงษ์ระบุว่า ต้องทำด้วยระบบรวมศูนย์บัญชาการ (single command) ที่มีผู้บัญชาการเหตุการณ์คนเดียว แต่สิ่งที่รัฐบาลทำตอนนี้นั้น คือการตั้งผู้บัญชาการมาถึง 3 คนในการออกคำสั่งให้กับฝ่ายปฏิบัติการ อีกทั้งปัจจุบันยังไม่มีฐานข้อมูลกลางผู้ประสบภัยเดียว ที่ใช้ร่วมกันทุกหน่วยงาน ซึ่งจะเกิดปัญหามีหลายแพลตฟอร์มเปิดรับแจ้งเหตุฉุกเฉินกระจัดกระจาย อาจเกิดปัญหาความซ้ำซ้อนของข้อมูลและล่าช้าในการสั่งการเพื่อช่วยอพยพ
จากจำนวนประชาชนที่ยังค้างอพยพจำนวนมากอยู่แล้ว จะทำให้การปฏิบัติงานหน้างานช้าขึ้นไปอีก ณ เวลาสถานการณ์ที่วิกฤตแบบนี้เพื่อจัดการข้อมูล ข้อเสนอของผมคือใช้ https://jitasa.care ในการเปิดรับความช่วยเหลือ โดยปัจจุบันมีเคสการแจ้งแล้วกว่า 28,800 เคส และผ่านการทดสอบในช่วงโควิดหลายครั้งที่ผ่านมา ว่าสามารถกระจายงานให้ทีมอาสาเข้าไปปิดเคสได้
ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่า นายกรัฐมนตรีต้องเป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ด้วยตนเอง สั่งการให้ชัดจากฐานข้อมูลที่แม่นยำ ใช้อำนาจของนายกรัฐมนตรีอย่างรวดเร็วและเท่าทัน เพื่อที่จะสามารถสั่งการเติมจุดที่ยังขาดทีมหรือเทคโนโลยี
“ในภาวะวิกฤตเช่นนี้ การตัดสินใจหน้างานต้องเด็ดขาดและรวดเร็ว เพราะทุกวินาทีที่ลังเลไม่ตัดสินใจ คือความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นกับประชาชนด้วย ผู้บัญชาการต้องเป็นคนเดียว ศูนย์บัญชาการต้องมีฐานข้อมูลเดียวที่รวบรวมครบถ้วนทุกจังหวัดในพื้นที่วิกฤตและคาดว่าจะวิกฤต การบัญชาการที่ชัดเจนจะช่วยลดความเสี่ยงภัยพิบัติได้สูงมาก”











