วันนี้ (31 ธันวาคม) ที่รัฐสภา ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงภาพรวมการทำงานของฝั่งรัฐบาลว่า พรรคร่วมรัฐบาลเกิดขึ้นจากสิ่งที่เรียกว่าการตกลงผลประโยชน์ร่วมกัน ขณะเดียวกันพรรคเพื่อไทยไม่สามารถกำหนดทิศทางได้ หลายครั้งที่พรรคภูมิใจไทยไม่เห็นด้วยจนทำให้ทิศทางของรัฐบาลไม่สามารถขับเคลื่อนได้เต็มประสิทธิภาพ ตนคิดว่าเกิดจากการจัดตั้งรัฐบาลผสมพันธุ์ข้ามขั้วตั้งแต่ตอนแรก ส่งผลมาถึงปัจจุบัน ทำให้พรรคเพื่อไทยไม่สามารถผลักดันนโยบายที่หาเสียงไว้ได้อย่างเต็มที่
เมื่อถามว่าในปี 2568 มีโอกาสที่รอยร้าวของพรรคร่วมรัฐบาลจะขยายขึ้นทำให้รัฐบาลสั่นคลอนหรือล้มลงได้หรือไม่ ณัฐพงษ์กล่าวว่า มีโอกาสมาก สิ่งนี้เองตนคิดว่าเวทีอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ฝ่ายค้านจะเป็นแว่นขยายทำให้เห็นรอยร้าวได้อย่างชัดเจนมากขึ้น ตนคิดว่าเรื่องนี้รัฐบาลจัดการได้ยาก ฝ่ายค้านจะทำหน้าที่อย่างเต็มที่ อีกประเด็นที่ตนคิดว่าสำคัญคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เรื่องนี้จะผลักดันได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับพรรคภูมิใจไทยด้วย
ส่วนบทบาทของ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ช่วงหลังมีสูงมาก หลายคนเปรียบเทียบว่าเป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริง ณัฐพงษ์กล่าวว่า คงเดินหน้าตรวจสอบอย่างเต็มที่ บทบาทของทักษิณเองที่อาจมีการตั้งข้อสงสัยว่าเป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริงหรือไม่
“ผมเองก็อยากเรียกร้องให้ คุณแพทองธาร ชินวัตร ควรจะต้องเป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริงมากกว่า แต่ว่าการแสดงออกและพฤติกรรมที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการหลีกเลี่ยงการตอบกระทู้ถามสด การไม่เป็นประธานในที่ประชุมบอร์ดคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) หรือหลีกเลี่ยงการตอบคำถามสื่อ สื่อถามคำถามแบบหนึ่งแต่ตอบแบบหนึ่ง ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเราตั้งข้อสงสัยว่า คนคนนี้ไม่ใช่นายกรัฐมนตรีตัวจริง รวมถึงลอยตัวหนีปัญหา เป็นข้อสงสัยได้ว่าท่านอาจขาดคุณสมบัติในการเป็นนายกรัฐมนตรี” ณัฐพงษ์กล่าว
ณัฐพงษ์กล่าวต่อว่า สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้สำหรับแพทองธาร หากอยากจะได้ความมั่นใจจากประชาชนกลับมาว่าเป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริง ต้องยอมตอบคำถามอย่างตรงไปตรงมา แสดงความรับผิดรับชอบต่อสภา
เมื่อถามว่าบนเวทีปราศรัยหลายแห่ง ทักษิณปราศรัยกระทบมาถึงพรรคประชาชน เช่น ทำงานไม่เป็น ด่าเก่ง จะกระทบต่อความเชื่อมั่นของพรรคหรือไม่ ณัฐพงษ์กล่าวว่า ตนคิดว่าต้องพิสูจน์จากการทำงานหนัก แน่นอนที่สุดว่ามุมมองของทักษิณอาจคิดว่าพรรคประชาชนไม่เคยบริหารจริงๆ
แต่อย่างน้อย นอกจากเรื่องจำนวนกฎหมายที่พรรคประชาชนเสนอมากที่สุด อีกหนึ่งสิ่งที่เห็นได้ชัดเรื่องการชะลอการรับซื้อพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียน เป็นสิ่งที่เราสะท้อนต่อสังคมและเกิดผลได้จริง ซึ่งในปี 2568 ยังมีอีกหลายวาระที่เราอยากผลักดันต่อ การแก้ไขรัฐธรรมนูญก็อีก 1 เรื่องที่ไม่ใช่พรรคประชาชนอยากผลักดันพรรคเดียว ถ้าพรรคเพื่อไทยเห็นด้วยก็ต้องผลักดันต่อ รวมถึงการพูดคุยกับพรรคร่วมรัฐบาลให้เอาด้วยกับเรื่องนี้ เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าเสียงในวาระ 1 ก็ต้องอาศัยเสียงสมาชิกวุฒิสภา (สว.) 1 ใน 3 เช่นเดียวกัน