วานนี้ (21 ตุลาคม) ที่ ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้เป็นประธานการประชุมเพื่อขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลและยกระดับการปราบปรามอาชญากรรมทางไซเบอร์ โดยเฉพาะกลุ่มสแกมเมอร์ในประเทศกัมพูชา
ผบ.ตร. ได้เน้นย้ำข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ให้เร่งรัดดำเนินการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีควบคู่กับปัญหาการค้ามนุษย์ โดยสั่งการให้ยกระดับเรื่องการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเป็นวาระแห่งชาติ และมอบหมายให้ พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร.เป็นผู้รับผิดชอบหลักในการขับเคลื่อน พร้อมกันนี้ ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ยกระดับการสร้างความตระหนักรู้ หรือ วัคซีนไซเบอร์ แก่ประชาชน เพื่อป้องกันการถูกหลอกลวง โดยมอบหมายให้ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ รองจเรตำรวจแห่งชาติ เป็นหัวหน้าคณะทำงาน
ผบ.ตร. กล่าวถึงการใช้มาตรการปราบปรามอย่างเข้มข้นว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่เคยละเลยและดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในมิติการป้องกันปราบปราม และการใช้ช่องทางการทูต โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประเทศกัมพูชา แม้ที่ผ่านมาการขอความร่วมมือในการทลายศูนย์ปฏิบัติการแก๊งคอลเซ็นเตอร์จะไม่ได้รับความร่วมมือเท่าที่ควร แต่ไทยก็ยังเดินหน้ากดดันและประสานงานอย่างต่อเนื่องจนเริ่มเห็นผล
ตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงพฤษภาคมที่ผ่านมา ได้รับตัวผู้ต้องหาชาวไทยกลับมาดำเนินคดีในประเทศไทยแล้ว 3 รอบ รวม 219 คน พร้อมระบุว่าผู้ต้องหาทั้งหมดอยู่ระหว่างการพิจารณาในชั้นศาล โดยมีตำรวจไซเบอร์เป็นหน่วยงานหลักในการรับผิดชอบ
นอกจากนี้ ยังมีการสั่งการให้เร่งติดตามจับกุมเครือข่ายก๊กอาน จำนวน 3 คน ที่กระทรวงมหาดไทยพิจารณาเพิกถอนสัญชาติ และขณะนี้มีการออกหมายจับและหมายแดงตามกระบวนการสากลแล้ว
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ระบุว่า จากนี้ไปสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะยกระดับการทำงานผ่าน ศปอส.ตร. ทุกระดับ โดยจะประสานงานร่วมกับ Warroom IAC (ศูนย์ประสานงาน) ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลผู้ต้องสงสัยและเส้นทางการเงินแบบทันท่วงที (Real Time) ทำให้สามารถระงับยับยั้งธุรกรรมต้องสงสัย พิสูจน์ทราบตัวตน และขยายผลจับกุมเครือข่ายผู้กระทำความผิดได้อย่างรวดเร็ว
สำหรับกรณีที่มีกระแสข่าวว่า นักการเมืองไทย 7 ราย มีส่วนเกี่ยวข้องกับเครือข่ายแก๊งสแกมเมอร์ในกัมพูชานั้น ผบ.ตร. ยืนยันว่า ขณะนี้ยังเป็นเพียงข้อมูลข่าวสารที่เผยแพร่ผ่านสื่อ ยังไม่มีการร้องทุกข์หรือพยานหลักฐานเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม แต่ยืนยันว่าตำรวจพร้อมดำเนินการตามกฎหมายอย่างตรงไปตรงมา หากมีการร้องทุกข์หรือมีพยานหลักฐานตาม ป.วิอาญา เข้ามาสู่กระบวนการอย่างเป็นทางการ