×

นายนะ พัฒนาจากการทำเพลงที่ชอบ “แล้ววันหนึ่งคนจะชอบในเพลงแบบที่ผมทำ”

06.04.2019
  • LOADING...
นายนะ

HIGHLIGHTS

6 Mins. Read
  • นายนะ คือผู้ชนะจากรายการ Show Me The Money Thailand ซีซัน 1 และได้เป็นศิลปินในค่าย PROM+ โดย อุ๋ยและโต้ง Buddha Bless ที่เคยร่วมงานกันตั้งแต่อยู่ในรายการ
  • นายนะคิดว่าชีวิตการเป็นแรปเปอร์ตัวเองกำลังอยู่ในช่วงที่สนุกและต้องต่อสู้กับอะไรหลายอย่าง โดยเฉพาะการสู้เพื่อจะผสมผสานความเป็นตัวเองกับแนวเพลงที่คนฟังชอบให้ได้
  • ถ้ามองจากผลงานเพลงและบุคลิกภายนอก นายนะจะดูเป็นคนกวนๆ อารมณ์ดีอยู่ตลอดเวลา แต่จริงๆ แล้วเพลงที่เขาอยากทำมากที่สุดคือเพลงที่หยิบเอาเรื่องที่ลึกและดาร์กในชีวิตมาสร้างเป็นบทเพลงที่ให้กำลังใจกับคนอื่นได้

ถ้ามองจากไรม์กวนๆ บุคลิกจัดจ้าน การ Flip คำสลับไปมาได้อย่างรื่นหู ของผู้ชนะจากรายการ Show Me The Money Thailand ซีซัน 1 รวมผลงานในฐานะศิลปินจากค่าย PROM+ อย่าง รองเท้าหายตอนถวายสังฆทาน และ อย่าพูดเลย ผลงานล่าสุดที่เต็มไปด้วยมุมมองสนุกสนานและการมองโลกที่ไม่เหมือนใคร

 

เหล่านี้อาจทำให้หลายคนไม่ทันนึกว่าแท้จริงแล้วแรปเปอร์ aka ‘นายนะ’ หรือ ปิยวัฒน์ เชิดเพชรรัตน์ ได้ซ่อนความตั้งใจในการทำเพลงที่พูดถึงชีวิตที่ ‘ลึก’ และ ‘ดาร์ก’ ซึ่งเป็นตัวตนที่แท้จริงของเขาเอาไว้ชนิดที่น้อยคนมักจะมีโอกาสได้รับรู้

 

จากจุดเริ่มต้นของเด็กชอบเขียนเรียงความและรักในการถอด ‘เนื้อเพลง’ เกี่ยวกับชีวิต ซึ่งทำให้เขาอินมากที่สุด เขามีพลังและความฝันในการหยิบสิ่งเหล่านั้นออกมาอย่างเต็มเปี่ยม หากแต่ในฐานะศิลปิน เขาก็เข้าใจกลไกที่สำคัญในยุคที่วงการดนตรีขับเคลื่อนโดยมี ‘ยอดวิว’ เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญต่อการสร้างฐานแฟนคลับและการจ้างงาน ซึ่งจะทำให้เขาหล่อเลี้ยงชีวิตด้วยการเป็นแรปเปอร์ได้จริงๆ

 

สิ่งที่เขาทำได้ในตอนนี้คือการผสานตัวตนเข้ากับความชอบและความต้องการของคนฟังให้ได้มากที่สุด เพื่อพิสูจน์ตัวเองว่าแรปเปอร์หน้าใหม่อย่างเขานั้นมีความสามารถมากพอจะฝ่าโจทย์สำคัญอันดับต้นๆ ในฐานะศิลปิน นั่นคือการทำเพลงที่คน ‘ชอบฟัง’ ได้จริงหรือเปล่า

 

และหากเขาฝ่าด่านแรกนั้นไปได้ ด่านต่อไปที่จะต้องข้ามไปให้ได้คือ การทำเพลงในแบบที่เป็นตัวเอง ที่ไม่ว่าเนื้อหาจะลึก จะดาร์ก จะขายได้ยากเท่าไร แต่อย่างน้อยที่สุดมันจะต้องเป็นเพลงที่ผู้คนสามารถ ‘ฟัง’ ได้อย่างชอบใจในตัวตนของเขาจริงๆ

 

naina

 

ชีวิตหลังจบจากรายการ Show Me The Money Thailand เป็นอย่างไรบ้าง

ตอนนั้นผมเพิ่งเรียนจบวิศวกรรมเครื่องกล (มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี) ตอนแรกคิดว่าคงทำงานเป็นวิศวะไปก่อน แล้วก็ทำเพลงไปด้วย แต่พอจบจากรายการ Show Me The Money Thailand เริ่มมีโอกาสเข้ามา และคิดว่าเราน่าจะไปทางนี้ได้ ก็เลยเบนเข็มจากงานวิศวะมาทำเพลงแบบเต็มตัวครับ

 

ความสนใจในการเรียนวิศวะสาขาเครื่องกลเริ่มต้นมาได้อย่างไร

จริงๆ คือมีแค่ไม่กี่วิชาที่ผมเรียนได้ครับ (หัวเราะ) คือภาษาไทย คณิตศาสตร์ กับฟิสิกส์ แต่มันไม่สามารถไปพร้อมกันทั้ง 3 วิชาได้ ก็เลยใช้หลักประชาธิปไตยไทย เลือกอันที่มีมากกว่าคือคณิตศาสตร์กับฟิสิกส์ แล้วไปทางสายวิศวะเครื่องกลดีกว่า

 

ถ้าคิดจากเรื่องวิชาที่ทำได้ จริงๆ คณิตศาสตร์กับฟิสิกส์น่าจะมีแนวโน้มเป็นวิชาที่ทำไม่ได้มากกว่าหรือเปล่า

(หัวเราะ) พื้นฐานของผมน่าจะเป็นคนท่องจำไม่เก่ง แต่ชอบคำนวณ แล้วคณิตศาสตร์กับฟิสิกส์แค่ท่องสูตรให้ได้ เราเข้าใจหลักการใหญ่ของมัน แล้วที่เหลือขึ้นอยู่กับการเอาไปแทนค่า เอาไปคำนวณที่มันคิดได้หลากหลายมาก หนึ่งคำตอบอาจจะมีวิธีการไปถึงคำตอบนั้นได้มากกว่าหนึ่งวิธีการ พื้นฐานตรงนี้มั้งครับที่ตรงกับลักษณะนิสัย

 

แต่พอเข้ามาเรียนจริงๆ ก็ต้องจำเยอะอยู่ดีนะ (หัวเราะ) แล้วผมดันไม่ได้ตั้งใจเรียนมากขนาดนั้นด้วย เพราะเริ่มมาหมกมุ่นกับการทำเพลงกับออกไปแข่งแรป พร้อมๆ กับเรียนไปด้วย หนังสือก็อ่านได้ไม่เท่าเพื่อน อาศัยเน้นอ่านก่อนสอบเอา

 

สุดท้ายผมก็ยังไม่ได้เอาวิชาที่เรียนมาไปใช้ในการทำงานจริงๆ นะ แต่อย่างน้อยจากนิสัยของผมที่ชอบเอาสิ่งรอบตัวมาใช้ในการเขียนเนื้อเพลง สิ่งที่เรียนมาก็กลายเป็นคำศัพท์ เป็นสิ่งที่ผมเอามาใช้เขียนได้ เช่น ตอนแข่ง Show Me The Money Thailand ที่มีท่อน ‘มองกูเป็นเศษ กู integrated เป็นทอง’ ก็เอามาจากวิชาแคลคูลัส

 

คลิปนายนะ ในรายการ Show Me The Money Thailand รอบ Ring on Fire

 

ชีวิตการเป็นฟูลไทม์แรปเปอร์ เป็นไปแบบที่เคยวาดภาพเอาไว้ไหม

กำลังสนุกและสู้อยู่ครับ สนุกกับการได้ทำเพลงไปพร้อมๆ กับการสู้กับตัวเอง สู้เพื่อหาทางว่าจะทำอย่างไรให้คนชอบเพลงที่เราทำ และอีกขั้นคือทำอย่างไรให้เขาชอบเพลงที่เราทำที่เป็นตัวเราด้วย ตอนนี้รู้สึกว่าผมยังหาค่ากลางของการทำเพลงที่เป็นตัวเรา กับเพลงที่คนชอบได้ไม่ดีเท่าไร ไม่ได้โทษใครนะครับ แต่มันเป็นเพราะตัวตนของผม หรือเพลงที่ผมอยากทำมากๆ มันก็เป็นเพลงที่ไม่น่าจะขายได้จริงๆ (หัวเราะ) ช่วงนี้เลยเป็นช่วงที่ต้องพยายามอย่างหนัก เพื่อหาคำตอบตรงนี้ให้ได้

 

อย่างเพลงแรก รองเท้าหายตอนถวายสังฆทาน ก็เป็นการทดลองเต็มที่เลย ฟังก์ชันของเพลงนี้คือ ผมสนใจเรื่องการเล่าเรื่องมากๆ และผมอยากลองเล่าเรื่องที่คนเขาไม่เล่ากัน ถ้านึกภาพในเมืองไทยก็จะเป็นเพลงของพี่บอย Imagine ที่แปลกๆ อินดี้หน่อย มีคนเล่าไม่บ่อย แต่เราอยากเล่าเรื่องมุมนี้นะ อยากชวนให้คุณมาฟัง อันนี้เรียกว่าเป็นตัวผมเต็มๆ แล้วก็เพิ่มฟังก์ชันคือทำให้เป็นเพลงที่สามารถเต้นได้เข้าไป

 

 

 

มิวสิกวิดีโอเพลง รองเท้าหายตอนถวายสังฆทาน

 

แต่พอปล่อยเพลงแรกออกไปแล้วฟีดแบ็กก็ไม่เยอะเท่าไร ซึ่งต้องยอมรับนะครับว่ายอดวิวเป็นเรื่องสำคัญสำหรับศิลปิน แต่คิดว่าบางทีเราตัดสินว่าเพลงไหนดีหรือไม่ดีจากตรงนั้นไปนิดหนึ่ง เพลงยอดวิวเยอะๆ คือเพลงฟัง แต่บางเพลงเขาออกแบบให้เป็นฟังก์ชันสำหรับการเต้น ซึ่งคนไม่ได้เปิดฟังวนในร้านกาแฟ ตอนเล่นเกม หรือทำงานอยู่แล้ว เพราะเขาอยากไปฟังตอนเล่นสดมากกว่า

 

ซึ่งถ้าเพลงนั้นมันแสดงสดสนุกมาก คนเต้นกันจริงๆ แต่ยอดวิวน้อย จะบอกว่าเพลงนั้นไม่ดีหรือเปล่า แต่ที่บอกว่าผมเข้าใจเรื่องนี้จริงๆ นะ เข้าใจว่ายอดวิวที่มีการฟังเยอะๆ มันมีผลต่อการจ้างงานที่จะหล่อเลี้ยงชีวิตเราได้โดยตรง ก็เลยกลับมาคุยกับพี่ๆ กลับมานั่งมองตัวเองว่ามันมีข้อบกพร่องตรงไหน และคนฟังต้องการอะไรจากเราบ้าง

 

naina naina

 

แสดงว่าเพลง ‘อย่าพูดเลย’ คือสิ่งที่ได้จากการทบทวนตัวเองว่าคนฟังต้องการเพลงแบบไหนมาแล้ว

มีผลบ้างครับ พอเข้าใจว่าส่วนหนึ่งยอดวิวมีความสำคัญมากๆ เพลงต่อมามันเลยต้องมีฟังก์ชันหนึ่งที่ทำเพื่อเรียกยอดวิว ก็เลยมาคิดว่าเดี๋ยวจะทำเพลงแบบนี้ให้ดู ถ้าให้ลองชั่งน้ำหนัก เพลงนี้น่าจะเป็นแบบที่คนชอบประมาณ 60% ซึ่งถือว่าเยอะมากเลยนะถ้าคิดถึงเพลงอื่นๆ ที่ผมเคยทำมา (หัวเราะ) ทั้งหมดดนตรี เนื้อหาที่พูด การใช้ออโต้จูนเพิ่มความสมัยใหม่ ที่คนมองว่าเจ๋ง ส่วนอีก 40% ที่เป็นตัวเรา ก็คือพวกการใส่ฟีลเรกเก้เข้าไปนิดหนึ่ง และก็เรื่องการ Flip คำสลับไปมา จังหวะการแรปที่คิดว่าค่อนข้างอธิบายความเป็นนายนะได้เยอะ

 

มิวสิกวิดีโอเพลง อย่าพูดเลย | Shut up Feat. Lazyloxy

 

พูดถึงเรื่องออโต้จูน อยางที่คุณบอกว่าหลายคนมองว่าเทคนิคนี้เจ๋ง เป็นยุคทองของออโต้จูน แต่ในขณะเดียวกันก็เริ่มมีคนส่วนหนึ่งที่เริ่มมองว่าเพลงฮิปฮอปใช้เทคนิคออโต้จูนมากเกินไปหรือเปล่า บางคนก็มองว่าออโต้จูนเหมือนเป็นสูตรโกงสำหรับการร้องเพลงไปเลยก็มี

มันก็มีบ้างที่ทำอย่างนั้นจริงๆ บางเพลงฟังแล้วขัดหูเพราะมีออโต้จูนในที่ที่ไม่ควรจูน บางเพลงก็ใช้ออโต้จูนพร่ำเพรื่อเกินไปก็มี แต่ผมว่าถ้าใช้ในลักษณะที่ถูกต้อง มันเป็นเอฟเฟกต์ที่เจ๋งมากเลยนะ เพราะบางคนเขาร้องเพลงเพราะมาก แต่เขาก็ยังเลือกที่จะใช้ออโต้จูน เพราะมันมีเหตุผลของมันอยู่ว่าตรงไหนควรใช้เทคนิคแบบไหน

 

naina

 

กระแสตอบรับของเพลง อย่าพูดเลย ถือว่าออกมาดีพอสมควร (14 ล้านวิว ณ วันที่ 5 เม.ย. 2562) แสดงว่าการทดลองของคุณถือว่าประสบความสำเร็จ หลังจากนี้จะมีการทดลองเพื่อหาฟังก์ชันใหม่ๆ ในงานเพลงของคุณแบบไหนออกมาให้ฟังอีกบ้าง

ความรัก ความเฮฮา หามุมแปลกๆ ตลกๆ ดนตรีสนุกๆ เต้นได้ มาเล่านี่เป็นฟีลลิ่งที่ผมชอบนะ แต่มันก็ยังไม่ใช่สิ่งที่โชว์ศักยภาพ หรือความเป็นตัวตนของผมออกมาได้ทั้งหมด ซึ่งก็เคยคุยกับพี่ๆ ในค่ายว่าตัวตนของผมมันยังขายไม่ได้ (หัวเราะ) ตอนนี้ผมมีเพลงที่เขียนไว้เป็น 10 เพลงเลยนะ เป็นเพลงที่ผมอินมากเลย แต่มันคือเพลงที่พูดถึงชีวิตที่ลึกและดาร์กหมดเลย

 

ยกตัวอย่างเพลงหนึ่ง ผมเขียนถึงเพื่อนสนิทที่ถูกที่บ้านบังคับให้เรียนหมอ แล้วเขาเครียดมาก จนวันหนึ่งเขาเอาตู้แอร์ผูกขาตัวเองแล้วกระโดดลงแม่น้ำเจ้าพระยา มารู้อีกทีตอนศพเขาไปติดกับอวนประมง ซึ่งผมอยากเขียนอะไรแบบนี้ อยากให้กำลังใจคน ไม่อยากให้มีใครต้องเป็นแบบนั้น อันนี้เป็นเรื่องผมอินมาก

 

ซึ่งอีก 9 เพลงก็เป็นประมาณนี้หมดเลย แต่นึกออกใช่ไหมว่าคนจะฟังเพลงคนกระโดดน้ำตายซ้ำๆ ได้สักกี่รอบ (หัวเราะ) แต่สำหรับผม กลับมาฟังกี่ครั้งผมก็ยังเชื่อ ยังน้ำตาไหลอยู่เลย แสดงว่าเพลงนี้มันดีสำหรับผมมากจริงๆ และความฝันของผมคือ ต้องปล่อยเพลงพวกนี้ออกมาให้ได้ แต่มันยังไม่ถึงเวลา

 

สิ่งที่ผมจะพยายามทำต่อไปคือ การทำเพลงให้คนฟังออกมาก่อน ตอนนี้เป็นเฟสที่ทำอย่างไรก็ได้ให้คนฟังเพลงของผม ให้คนเชื่อว่านายนะทำเพลงแบบที่เขาอยากฟังได้ อย่างน้อยก็อยากรักษาคาแรกเตอร์แบบนี้เอาไว้อีกสัก 3-4 เพลงก่อน แล้วถ้าทำได้ มีคนฟังมากพอเมื่อไร เฟสต่อไปคือผมจะปล่อยเพลงชีวิตลึกๆ ดาร์กๆ แต่ฟังแล้วได้กำลังใจนะ พวกนั้นออกมา แล้วทำให้คนเขาฟังเพลงของผมซ้ำๆ ให้ได้

 

คิดว่าจุดที่ทำให้คุณเป็นคนชอบและอินกับการพูดถึงเรื่องของชีวิตมากกว่าเรื่องอื่นๆ เริ่มต้นมาจากไหน

หลักๆ น่าจะมาจากเพลง คือผมชอบฟังเพลงมาตั้งแต่เด็กๆ นะ แล้วสิ่งที่ดึงดูดมากที่สุดก็จะเป็นเนื้อเพลง ผมไม่ค่อยรู้เรื่องทฤษฎีหรือทักษะทางดนตรีมากเท่าไร ฟังไปก็ไม่ค่อยรู้หรอกว่าแบบไหนใช้สกิล ร้องดี ร้องโหดหรือเปล่า แต่สิ่งที่ผมจะตั้งใจฟังมากที่สุด แล้วชอบมากที่สุดคือเนื้อเพลงนั้นๆ มันจะทำให้ผมรู้สึกถึงเรื่องอะไรในชีวิตขึ้นมาได้บ้าง

 

อย่างเพลง Live and Learn หรือ ฤดูที่แตกต่าง อันนี้คือตัวอย่างของเพลงที่ได้ยินแล้วช่วยให้เราเปลี่ยนความคิดหรือได้แรงบันดาลใจและกำลังใจในทุกๆ ครั้งที่ได้ฟังจริงๆ หรือถ้าในสายฮิปฮอป ผมก็จะชอบการเล่าเรื่องของพี่กอล์ฟ ฟักกลิ้งฮีโร่ อย่างใน ราตรีสวัสดิ์ นี่ผมเชื่อในสิ่งที่เขาพูดในเพลงนั้นมากๆ จนน้ำตาไหลเลยนะ

 

กับอีกอย่างที่ไม่แน่ใจว่ามีผลหรือเปล่า คือผมเป็นคนชอบแต่งกลอน ชอบเขียนเรียงความมาตั้งแต่เด็กๆ เลยนะ เวลาถูกสั่งให้เขียนอะไรพวกนี้คนอื่นเขาจะไม่ชอบกันใช่ไหม แต่ผมชอบมาก มีความสุขมาก มีประกวดอะไรที่ไหนผมส่งหมดเลย แล้วเวลาเขียนตอนนั้นมันก็จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความฝัน เกี่ยวกับครอบครัว หรือที่เกี่ยวกับชีวิตของเรานี่แหละ

 

อาจจะเป็นความสุขในช่วงนั้น ที่เอามาผสมกับการชอบฟังเพลง จนกลายมาเป็นความชอบที่เล่าเรื่องชีวิตผ่านบทเพลงในแบบที่ผมฟังมา

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

FYI
  • ค่าย PROM+ คือค่ายเพลงฮิปฮอปน้องใหม่ในเครือ LOVEiS Entertainment ที่นำโดยอุ๋ยและโต้ง Buddha Bless และ ‘ทศกัณฐ์’ อีกหนึ่งแรปเปอร์สุดเดือดจากรายการ Show Me The Money Thailand เป็นศิลปินในค่าย
  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X