วันนี้ (11 สิงหาคม) นิวัติไชย เกษมมงคล รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)ในฐานะโฆษก ป.ป.ช.ให้สัมภาษณ์กรณีที่พรรคร่วมฝ่ายค้านยื่น ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 10 สิงหาคมที่ผ่านมา เพื่อขอให้ดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริง และดำเนินคดีกับ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดรัฐธรรมนูญ ออกข้อกำหนดตามมาตรา 9 ฉบับที่ 29 เพื่อจำกัดเสรีภาพของสื่อและการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร โดยเห็นว่ามีฐานความผิด 4 ข้อ ดังนี้
- จำกัดสิทธิบุคคลในเรื่องเสรีภาพด้านข้อมูลข่าวสารตามมาตรา 36 ของรัฐธรรมนูญ
- มาตรา 172 ของ พ.ร.บ. ปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
- ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบให้บุคคลเสียหาย
- ประมวลจริยธรรม
นิวัติไชยกล่าวว่า เมื่อมีผู้ยื่นมาแล้วทาง ป.ป.ช. ก็จะดำเนินการตรวจสอบคำร้องว่าเข้าองค์ประกอบอยู่ในหน้าที่และอำนาจของ ป.ป.ช. หรือไม่ เมื่อตรวจสอบคำร้องเสร็จจะส่งเรื่องต่อไปยังสำนักที่เกี่ยวข้อง ซึ่งในเรื่องนี้คือสํานักไต่สวนการทุจริตภาคการเมืองและองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งมี สุภา ปิยะจิตติ กรรมการ ป.ป.ช. เป็นผู้กำกับดูแลสำนักดังกล่าว ก็จะพิจารณาว่ามีข้อเท็จจริงอย่างไร และคงต้องขอเอกสารหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องมา และหากพิจารณาแล้วเบื้องต้นเห็นว่าไม่มีมูลกล่าวหาก็จะไม่รับพิจารณา แต่ถ้าข้อกล่าวหานั้นมีมูลก็จะเสนอคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไต่สวนต่อไป ซึ่งเป็นไปตามขั้นตอนของข้อกฎหมาย โดยกรอบระยะเวลาการทำงานก็อยู่ประมาณ 1-2 ปีตามระเบียบ
ผู้สื่อข่าวถามว่า พล.อ. ประยุทธ์ ได้ลงนามยกเลิกข้อกำหนดฉบับที่ 29 ซึ่งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วนั้น จะต้องนำมาเป็นข้อมูล พยานหลักฐาน ในการพิจารณาด้วยหรือไม่ นิวัติไชยกล่าวว่า ก็ต้องนำมาดูทั้งหมดถึงเจตนา
