วานนี้ (11 มีนาคม) กองทัพเมียนมายังคงเดินหน้าใช้กำลังและความรุนแรงปราบปรามกลุ่มผู้ชุมนุมต้านรัฐประหาร มีผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 12 ราย ส่งผลให้ยอดผู้เสียชีวิตรวมแล้วอย่างน้อย 70 ราย โดยมากกว่าครึ่งหนึ่งเป็นผู้มีอายุต่ำกว่า 25 ปี ขณะที่ยอดผู้ถูกกองทัพจับกุมและควบคุมตัวอยู่ที่ราว 2,000 ราย ในช่วง 1 เดือนครึ่งที่ผ่านมา
โดยกู่ ชิต มิน ตู ชาวเมียนมาวัย 25 ปี ที่อาศัยอยู่ในเมืองทางตอนเหนือของย่างกุ้งและมีภรรยากำลังตั้งครรภ์ คือหนึ่งในผู้เสียชีวิตกลุ่มล่าสุดที่ต้องจบชีวิตลงจากการใช้กำลังความรุนแรงของเจ้าหน้าที่รัฐเข่นฆ่าประชาชน ซึ่งกระสุนของเจ้าหน้าที่ตำรวจทะลุโล่ที่เขาใช้กำบัง ก่อนที่กระสุนจะยิงทะลุเข้าศีรษะของกู่ ชิต มิน ตู และเสียชีวิตในที่สุด
“ยกโทษให้ผมด้วย ถ้าผมไม่ได้ออกไปวันนี้ ถ้าคนอื่นๆ ไม่ได้ออกไปแสดงพลังร่วมกัน เราจะไม่มีวันได้ประชาธิปไตยกลับคืนมา” นี่คือประโยคสุดท้ายที่กู่ ชิต มิน ตู ได้พูดกับภรรยาของเขา ก่อนสิ่งที่ภรรยาของเขากลัวและไม่อยากให้เกิดขึ้นมากที่สุดก็กลายเป็นจริงขึ้นมา
ถึงแม้กองทัพจะใช้กำลังปราบปรามกลุ่มผู้ชุมนุมอย่างหนัก แต่ชาวเมียนมาผู้สนับสนุนประชาธิปไตยก็ยังคงยืดหยัดออกมาร่วมแสดงพลัง โดยเจ้าหน้าที่รัฐ เจ้าหน้าที่กระทรวงต่างเริ่มทยอยเข้าร่วมอารยะขัดขืนและยืนเคียงข้างประชาชนเพิ่มมากขึ้น ล่าสุดกองทัพได้ตั้งข้อหาคอรัปชันให้แก่ออง ซาน ซูจี รวมถึงประธานาธิบดีวิน มินต์ โดยหวังกำจัดพวกเขาออกจากเส้นทางทางการเมือง และสร้างความชอบธรรมในการควบคุมตัวพวกเขาต่อไป อย่างน้อยก็จนกว่าเป้าหมายของกองทัพจะลุล่วง
ทางด้าน โทมัส แอนดรูว์ ผู้เขียนรายงานพิเศษต่อสหประชาชาติเกี่ยวกับสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในเมียนมาชี้ว่า “ขณะนี้ประชาชนชาวเมียนมาไม่เพียงต้องการคำพูดที่สนับสนุนพวกเขา แต่ยังต้องการการกระทำที่สนับสนุนพวกเขาด้วย พวกเขาต้องการความช่วยเหลือจากประชาคมระหว่างประเทศในตอนนี้”
บทความที่เกี่ยวข้อง:
- ชมคลิป: “อย่าทำร้ายผู้ชุมนุม” ซิสเตอร์แอนน์ แม่ชีผู้คุกเข่าอ้อนวอนตำรวจเมียนมา อย่าใช้ความรุนแรง
- ชมคลิป: เมื่อเจ้าหน้าที่รัฐเข่นฆ่าประชาชน ชาวเมียนมาจึงต้องยืนหยัดเคียงข้างกัน
ภาพ: Stringer / Getty Images
พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล
อ้างอิง: