ถ้าลองพล็อตกราฟชีวิตของ ณพสิน แสงสุวรรณ หรือ หนุ่ม กะลา เราจะเห็นเส้นตรงที่พุ่งขึ้นอย่างสูงสุดตั้งแต่วัยหนุ่ม นาทีนั้นแฟนเพลงไทยสามารถร้องเพลงฮิตอย่าง เธอเป็นแฟนฉันแล้ว, ขอเป็นตัวเลือก, ไม่มาก็คิดถึง ของวงกะลากันได้ทั่วบ้านทั่วเมือง เขามีงานโชว์แทบทุกวัน ก่อนที่กราฟนั้นจะค่อยๆ พุ่งลงต่ำ กลายเป็นคนที่ติดเหล้าอย่างหนัก ต้องแยกทางกับเพื่อนร่วมวง ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง ถึงแม้จะพยายามตั้งวงขึ้นมาใหม่ถึง 2 ครั้ง แต่ก็ไม่สามารถจะไต่ความสำเร็จขึ้นยืนในระดับเดิมได้อีกต่อไป
กระทั่งล่าสุด เขาตัดสินใจกลับมาเป็นศิลปินเดี่ยว ปรับความคิดและเปลี่ยนแปลงตัวเองหลายอย่าง จนชื่อเสียงที่หายไปค่อยๆ ฟื้นคืนกลับมาอีกครั้ง และกำลังจะมีคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรกในชื่อ MY NAME IS NUM KALA 19 ปีที่รอ #ไม่มาก็คิดถึง
ทุกอย่างดูเหมือนจะดี แต่แล้วพายุลูกใหม่ก็เริ่มซัดสาดมาอีกครั้ง หลังจากถูกฟ้องร้องในความผิดละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่นเพื่อการค้าด้วยการเผยแพร่ภาพและเสียงต่อสาธารณชน ซึ่งงานดนตรีกรรมหรือโสตทัศนวัสดุโดยไม่ได้รับอนุญาต หลังจากเอาเพลง ยาม ของวง Labanoon ขึ้นไปเล่นในคอนเสิร์ตสถานที่ต่างๆ จนทำให้เขาต้องวิ่งไปรายงานตัวเพื่อรับทราบข้อกล่าวหากับสถานีตำรวจทั่วประเทศ 47 สถานี
ในขณะที่คอนเสิร์ตใหญ่ยังไม่เริ่มต้นและคดีความยังไม่สิ้นสุด THE STANDARD มีโอกาสพูดคุยกับเขาอย่างตรงไปตรงมา เพื่อหาคำตอบว่าอะไรคือเหตุผลที่ทำให้ผู้ชายคนหนึ่งยังเลือกที่จะเดินทางบนเส้นทางดนตรีมาได้ถึงทุกวันนี้ ถึงแม้จะผ่านความเจ็บปวดและผิดหวังมานับครั้งไม่ถ้วนก็ตาม
รู้สึกอย่างไรบ้างกับคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรก หลังจากเดินทางมาอย่างยาวนานถึง 19 ปีในวงการดนตรี
สำหรับผมนะครับ คอนเสิร์ตใหญ่เหมือนการได้รับปริญญาหลังจากเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยดนตรีมาอย่างยาวนาน ไม่ใช่จุดสิ้นสุด แต่มันคือปัจจัยหนึ่งที่บ่งบอกว่าเราทำสำเร็จแล้วระดับหนึ่งในการเป็นนักร้อง แล้วศิลปินที่ชอบส่วนใหญ่ก็จะมีคอนเสิร์ตของตัวเองทั้งนั้น ผมก็พยายามต่อสู้นะครับ พยายามทำความฝันนี้ให้เป็นจริงมาตลอด 19 ปี แต่ไม่เคยเกิดขึ้น
โดยเฉพาะตอนอัลบั้ม LOVE INFINITY (พ.ศ. 2555) ที่มีเพลง ใจเรายังตรงกันอยู่ไหม ที่ใกล้เคียงความจริงที่สุด มีคนที่รักความเป็นวงกะลาหอบเงินหลายล้านบาทเพื่อมาคุยกับผู้ใหญ่เรื่องจัดคอนเสิร์ตของผม แต่ด้วยปัจจัยหลายๆ อย่างที่ทำให้งานนั้นล้มลงไปอีก ครั้งนั้นทำให้ผมรู้สึกว่าจะไม่ต่อสู้อะไรเพื่อคอนเสิร์ตใหญ่อีกแล้ว
หรืออย่างคอนเสิร์ต Pack 4 Turn Back Concert (พ.ศ. 2559) ความจริงมันคือคอนเสิร์ต หนุ่ม กะลา แต่นึกภาพคนที่ถูกอกหักแล้วอกหักอีก จนมองมันเป็นเรื่องตลก ตอนที่ค่ายมาบอกผมดีใจนะ แต่น้อยมาก และแล้วสุดท้ายมันก็ล่มจริงๆ
ปีต่อมาค่ายบอกว่าต้องเป็นปีของหนุ่มแน่นอน ผมก็ตอบ “ครับ” คืออยากให้เกิดขึ้นมากๆ นะ แต่กลัวจะเสียใจอีก ก็เลยพยายามไม่ดีใจกับเรื่องนี้แล้ว แล้วไปปลอบใจตัวเองว่าทุกคอนเสิร์ตที่ผมเล่น ผมจะทำให้มันเป็นเหมือนคอนเสิร์ตใหญ่ทุกโชว์แทน
ซึ่งคอนเสิร์ตครั้งนี้ไม่น่าจะมีอะไรที่ทำให้คุณต้องอกหักได้อีกแล้วนะ เพราะกำหนดวันขายบัตร กำหนดวันแสดงเรียบร้อยไปหมดแล้ว
วันที่เข้าไปคุยกับค่าย ผมยังเดินเข้าไปแบบหยีตาข้างหนึ่งอยู่เลยนะ ในใจยังคิดตลอดว่าไม่จริงหรอก แต่พอค่ายประกาศเป็นทางการ ฟีดแบ็กในเฟซบุ๊กดีมาก แฟนเพลงเก่าๆ ก็มาแสดงความดีใจเหมือนว่า เออ มึงเรียนมาตั้งนานในที่สุดก็ได้รับปริญญาสักทีเว้ย (หัวเราะ) ส่วนแฟนเพลงรุ่นใหม่ๆ เขาก็จะตื่นเต้นกันมาก อยากให้เปิดขายบัตรเร็วๆ ซึ่งตัวผมเองดีใจมากเลยนะ ในที่สุดความฝันของเราก็จะได้เป็นจริงสักที
เชื่อไหมว่าวันที่เข้าไปคุยกับพี่กบ Big Ass (ขจรเดช พรมรักษา) ที่ผมชวนให้มาเป็นมิวสิกไดเรกเตอร์ กะว่าจะคุยกันเล่นๆ แต่กลายเป็นว่าผมสามารถจบสคริปต์ทั้งหมด 3 ชั่วโมงกว่าๆ รวมทั้งเพลงที่จะเล่นอีก 30 กว่าเพลงได้ในวันนั้นเลย ลองนึกภาพของคนที่เฝ้าแต่หมกมุ่นมาตลอด 19 ปี ว่าถ้ามีคอนเสิร์ตของตัวเองจะทำอะไรบ้าง ความฝันมันแข็งแรงมากนะครับ ผมแทบจะปั้นน้ำให้กลายเป็นตัวขึ้นมาได้เดี๋ยวนั้นเลย (หัวเราะ) เพราะฉะนั้นนั่นคือความพิเศษของคอนเสิร์ตใหญ่ในครั้งนี้
รู้สึกอย่างไรบ้าง เพราะถ้ามองไปที่วงดนตรีหลายวงที่เติบโตมาจากการประกวด Hotwave Music Awards มาเหมือนกับคุณ ก็มีคอนเสิร์ตใหญ่เป็นของตัวเองแทบทั้งหมดแล้ว ในขณะที่คุณยังไม่เคยได้รับโอกาสแม้แต่ครั้งเดียว
(คิดนาน) ไม่ได้อิจฉาเขานะครับ เพราะทุกคนเป็นเพื่อนที่คุ้นเคยกันทั้งหมด แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในใจทุกครั้งที่รู้ข่าว มันได้แต่เฝ้าโทษตัวเองว่าทำไมเรายังไม่ดีพอสักที เฝ้าแต่ถามตัวเองว่าคุณสมบัติอะไรเหรอที่ทำให้เราไปถึงจุดนั้นไม่ได้ เพราะทุกอย่างมันขัดแย้งกันนะ ตอนเป็นเทปวงกะลาก็ขายได้เยอะ ยุคดาวน์โหลดยอดของเราก็เยอะ ไม่มีงานจ้างเหรอ ผมก็มีงานจ้างแทบทุกวัน ในขณะที่บางวงอาจจะปล่อยมาแค่ไม่กี่ซิงเกิล แต่มีคอนเสิร์ตใหญ่ของตัวเองได้แล้ว ทุกๆ เดือน ทุกๆ ปี ต้องเห็นวงเหล่านั้นเดินผ่านหน้าเราไปมีคอนเสิร์ตใหญ่ แต่เฮ้ย เรามีเพลงมา 6 อัลบั้มแล้วนะ ทำไมไม่ถึงวันของเราสักที ยิ่งได้ไปอยู่ในบรรยากาศคอนเสิร์ตใหญ่ของเพื่อนๆ ที่ได้เห็นแฟนๆ ที่รักพวกเขาอย่างเหนียวแน่น มาร้อง มาแสดงความรักให้กับแบบนั้น ก็ได้แต่คิดว่ามันจะดีขนาดไหนนะถ้าความรู้สึกแบบนั้นมันเกิดขึ้นกับเราบ้าง
มิตรภาพระหว่างวงร็อกที่เติบโตมาด้วยกันเป็นอย่างไรบ้าง
มีโดยตลอดเลยครับ ยกตัวอย่างที่ผมโดนเรื่องลิขสิทธิ์เพลง ยาม ครั้งล่าสุด เพื่อนๆ และวง Labanoon ก็โทรมาคุยกันตลอด มาเล่าให้ฟังว่าตอนของเขาเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง เขาแก้ปัญหาอย่างไร ถ้ามีอะไรให้ช่วยเหลือจริงๆ ก็บอกได้เลย ยิ่งโอม (ปัณฑพล ประสารราชกิจ นักร้องนำวง Cocktail) ที่มีความรู้ด้านกฎหมายนี่ให้คำปรึกษาแทบจะตั้งแต่นาทีแรกจนถึงตอนนี้เลย
คุณมีความผูกพันอะไรกับเพลง ยาม เป็นพิเศษหรือเปล่า ถึงได้เลือกเพลงนี้ไปร้องในหลายๆ คอนเสิร์ต จนล่าสุดเพลงนี้ทำให้คุณต้องไปรายงานตัวกับสถานีตำรวจทั่วประเทศ 47 สถานี
ต้องบอกว่าทุกเพลงที่ผมเลือกมาคัฟเวอร์เป็นเพลงที่มีความหมายกับผมทั้งหมด ที่เลือกเล่นเพลง ยาม เพราะว่า Labanoon คือวงดนตรีที่เป็นทั้งเพื่อนที่โตมาด้วยกัน ซ้อมที่เดียวกัน และเป็นแรงบันดาลใจให้ผมกลับไปแข่งฮอตเวฟอีกรอบหนึ่ง (วงกะลากับ Labanoon เคยประกวด Hotwave Music Awards ครั้งที่ 2 ด้วยกัน ซึ่งกะลาตกรอบ 30 วงสุดท้าย ในขณะที่ Labanoon ไปได้ไกลถึงรอบ 10 วง) หรือเวลาเล่นเพลงของพี่ๆ Big Ass ก็เพราะว่าผมเอาเพลงของเขามาเล่นในการประกวด ทุกอย่างมีเรื่องราว แต่มันโป๊ะเชะตรงที่ว่าเพลง ยาม ดันไม่ใช่เพลงที่เราสามารถเอามาเล่นได้เท่านั้นเอง
รู้สึกอย่างไรบ้างเวลาที่เราเลือกเพลงมาเล่นด้วยความรู้สึกที่ดี แต่สุดท้ายเพลงนั้นกลับมาทำร้ายตัวเราในตอนหลัง
ต้องบอกก่อนนะครับว่าเรื่องนี้ผมยอมรับผิด 100% แล้วผมอยากให้เคสของผมเป็นกรณีศึกษาสำหรับคนอื่นด้วยว่า ถ้าจะเล่นเพลงอะไรให้เช็กให้ดี เพราะผมยืนยันว่าลิขสิทธิ์ทางปัญญาเป็นเรื่องสำคัญ คนชอบเข้าใจผิดว่าเพลงคือของฟรี ทุกอย่างมีต้นทุนของมัน เพราะฉะนั้นถ้าผมผิดก็ต้องรับผิดชอบแต่โดยดี
มันโหดร้ายเกินไปสำหรับนักดนตรีไหม
(คิดนาน) จริงๆ …ถ้าเตือนก่อนก็ดีนะครับ (หัวเราะ) อย่างเวลามีศิลปินน้องๆ หลายคนเอาเพลงผมไปร้อง ผมยินดีมากเลยนะ แต่จะบอกเขาว่า ไปคุยกับค่ายให้ดีก่อนนะ เพราะถึงจะเป็นเพลงที่เราแต่งเอง แต่เราไม่ได้ถือลิขสิทธิ์ในเพลงนั้น ซึ่งแกรมมี่เขาใจดีอยู่แล้ว แต่คุยกันให้เคลียร์ตั้งแต่แรกเอาไว้ก่อน
เล่าให้ฟังได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างระหว่าง 47 ครั้งที่ต้องไปรายงานตัวที่สถานีตำรวจ
ตอนนี้ (THE STANDARD คุยกับหนุ่มในวันที่ 19 มีนาคม 2561) ผมไปมาแล้ว 8 สถานี สิ่งที่เกิดขึ้นคือผมต้องไปรายงานตัว 47 สถานีเพื่อไม่ให้เขาออกหมายจับผม หลังจากนั้นเขาจะส่งสำนวนฟ้องต่ออัยการอีก 47 ครั้ง เท่ากับว่าผมต้องไปรายงานตัวกับอัยการอีก 47 ครั้ง และอัยการก็ต้องส่งขึ้นศาล และผมก็ต้องไปฟังคำตัดสินศาลอีก 47 ครั้ง เท่ากับว่าทั้งหมดเกือบ 150 ครั้งครับที่ผมต้องดำเนินการให้เรียบร้อย
ซึ่งมันส่งผลกับการทำงานของผมเหมือนกันนะ เพราะว่าผมต้องจัดตารางทัวร์ให้ดีขึ้น เช่น ล่าสุดไปเล่นคอนเสิร์ตที่ภาคใต้ 3 วัน พอลงเครื่องบินปุ๊บ ทีมงานผมจะขึ้นรถตู้แยกไปที่งานเลย ส่วนผมกับผู้จัดการจะต้องไปตามสถานีตำรวจเพื่อรายงานตัว
ผมเป็นคนที่ร้องเพลงเลิกดึกแล้วต้องนอนตื่นสายหน่อยเพื่อฟื้นฟูร่างกาย แต่กลายเป็นว่าต้องตื่นเช้าติดๆ กัน ทำให้หลายครั้งพอขึ้นไปบนเวทีแล้วหน้าผมแย่มาก ไม่มีแรง ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ดีเลยนะครับ เพราะงานของเราคือสร้างความบันเทิงให้คนดู แต่เรากำลังอมทุกข์ขึ้นไปยืนบนเวทีนั้น เหมือนเรากำลังเอาความอิดโรยขึ้นไปแจกจ่ายให้ทุกคนที่อยากได้ความบันเทิงจากเรา
เชื่อว่าเวลาไปรายงานตัวต้องเจอเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เป็นแฟนเพลงของคุณแน่ๆ
เยอะมากครับ ส่วนใหญ่เขาจะบอกว่าไม่อยากออกหมายจับพี่เลย (หัวเราะ) ซึ่งก็กลายเป็นเรื่องสนุกในชีวิตอย่างหนึ่งเหมือนกันนะครับ ไม่ใช่แค่เจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ได้ไปเจอแฟนคลับในห้องขังด้วย เพราะเวลาไปปั๊มลายนิ้วมือเพื่อรายงานตัว ผมจะต้องเดินผ่านห้องขังจริงๆ เข้าไปในนั้น แล้วก็มีคนที่โดนจับทำหน้าตกใจบอกว่า เฮ้ย พี่หนุ่ม ก็ได้แต่คิดในใจว่า ทำไมต้องมาเจอแฟนคลับในที่แบบนี้ด้วยนะ (หัวเราะ)
คุณเป็นศิลปินที่ผ่านช่วงเวลาที่ล้มเหลวหรือประสบปัญหาในชีวิตมาเยอะมาก แต่สิ่งหนึ่งที่คุณยืนยันมาตลอดคือ คุณไม่เคยคิดที่จะหยุดร้องเพลง เพราะคุณเกิดมาเพื่อร้องเพลงเท่านั้น อยากรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้คุณยึดมั่นกับอาชีพนี้ได้มากขนาดนี้
การกลับมาเป็นศิลปินเดี่ยวหลังจากผ่านช่วงวงแตกมา 2 รอบ ทำให้ผมรู้สึกว่าสิ่งที่ผมรักคือร้องเพลงจริงๆ และผมจะไม่เอาตัวเองไปเป๋กับเรื่องอื่น ไม่ว่าจะเหล้า บุหรี่ หรืออะไรก็ตาม สิ่งที่ผมคิดตอนนี้คือ ผมกลับมาเพื่อโกยๆๆๆๆ ความสุขให้มากที่สุด และเมื่อหมดช่วงนั้น ผมจะหอบความสุขที่ได้ไปนอนกอดแล้วยิ้มอยู่ที่บ้านคนเดียวเลย เพราะ 15 ปีที่ก่อนหน้านี้ ผมดังมากเลยนะ มีงานเยอะมาก แต่ผมแทบไม่ได้โกยอะไรกลับมาเลย พอมองย้อนกลับไปมันเห็นแต่คำถามว่า ทำไมผมทุกข์มากเลยนะ มันเต็มไปด้วยความทรงจำที่เลือนรางเพราะเกิดจากความเมา เกิดจากความเป็นเด็ก คึกคะนองอยู่กับการเป็นร็อกสตาร์เต็มเหนี่ยว เรื่องแสบๆ นี่ผ่านมาหมดแล้ว
หนุ่ม กะลาในวัยเด็กใช้ความเป็นร็อกกสตาร์เมื่ออยู่บนเวที แล้ว หนุ่ม กะลา ในตอนนี้ใช้อะไรเพื่อสร้างความสุขให้กับตัวเองและคนดู
ไม่ใช้อะไรเลย ผมพยายามทำตัวเป็นคนธรรมดามาก พยายามไม่แบกอะไรไว้บนหัว แล้วต่อให้ไม่ใช่ร็อกกสตาร์เราก็ยังทำงานแบบมันมากๆ ได้อยู่ดี เพราะการไม่ต้องเมาเวลาขึ้นคอนเสิร์ตคือลาภอันประเสิร์ฐที่สุดแล้ว (หัวเราะ)
ช่วงแรกๆ จะเจอแรงเสียดสีเยอะมาก มีคนส่งแก้วเหล้าให้หน้าเวที พอไม่กินก็โดนด่า หาว่ากระแดะบ้าง ไม่แน่จริงบ้าง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ลองนึกภาพแฟนเก่าที่ทิ้งเราไปนะครับ แล้ววันหนึ่งเราตัดใจจากเขาได้แล้ว มันไม่มีวันที่จะกลับไปยืนอยู่ตรงนั้นอีกแล้ว
อะไรคือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้คนที่เคยใช้ชีวิตอย่างคึกคะนองเริ่มละทุกอย่างและมองชีวิตได้อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
มี 2 อย่างใหญ่ๆ คือ การที่ผมไปบวชที่วัดป่า จังหวัดอุดรธานี เมื่อปี 2 ปีที่แล้ว ครั้งนั้นสอนให้ผมรู้จักที่จะจัดการกับความกลัว 20 กว่าวัน ที่ต้องไปอยู่ในป่าพื้นที่ 2,000 กว่าไร่ ที่เต็มไปด้วยเรื่องเล่าต่างๆ นานา ตุ๊กแกตัวเท่าขา มีผีถอดหัวมานอนอยู่ข้างๆ ผมเป็นคนกลัวแมงมุมมากๆ แต่ต้องไปอยู่ในที่ที่มีแมงมุมเต็มทางเดินไปหมด แรกๆ ทุกอย่างทำให้กลัวจนหลอน ซึ่งพอผ่านไปได้ ทำให้รู้สึกว่าในชีวิตนี้ไม่มีอะไรน่ากลัวอีกแล้ว น่ากลัวกว่าเรื่อง 47 สน. ด้วยซ้ำ (หัวเราะ) ผมคิดเหมือนกันนะว่าถ้าผมไม่ได้บวชมาก่อนเจอเรื่องนี้ ผมน่าจะดิ้นและทุรนทุรายเลยล่ะ
อีกหนึ่งอย่างคือการที่พี่นิค (วิเชียร ฤกษ์ไพศาล ผู้บริหารค่าย Genie Records) ส่งให้ผมไปเรียนการแสดง และได้ไปเรียนรู้เรื่องจิตวิทยาในการใช้ชีวิตที่แก้ปมในวัยเด็กของผมได้ เพราะถ้าไม่อยู่บนเวที ผมจะไม่มีความมั่นใจในตัวเองเลย ผมไม่กล้าเดินห้าง ไม่กล้าเข้าร้านอาหาร หรือไปที่ที่คนเยอะๆ เพราะผมไม่กล้าสบตากับใคร ซึ่งมันส่งผลกับการทำงานของผม เพราะทำให้ผมไม่เคารพตัวเอง คอยกดตัวเองว่าเราไม่มีค่า เราไม่ดัง ไม่ประสบความสำเร็จ แต่คอร์สนี้ทำให้ผมค้นพบการเคารพตัวเองและมองเห็นคุณค่าของตัวเองขึ้นมา
ซึ่งเหตุการณ์ง่ายมาก ครูบอกว่าวันนี้เราไม่มีเรียนนะ กลับบ้านได้เลย แต่ต้องกลับไปจดเรื่องที่เป็นข้อดีของตัวเองแล้วเอามาคุยกันครั้งหน้า ความคิดแรกคือ โอ้โห เราจะมีเรื่องดีขนาดนั้นได้ยังไงวะ แต่พอไปนั่งคิดจริงๆ มันก็เริ่มจากเรื่องง่าย เราเป็นคนร้องเพลงเพราะ ความจำดี ฯลฯ เขียนมาได้ 10 กว่าข้อ เพราะยังมีความรู้สึกกดตัวเองอยู่ดี แต่อย่างน้อยมันทำให้เห็นคุณค่าของตัวเองมากขึ้น เล็กๆ น้อยๆ ก็ได้ เพราะถ้ามันคือเรื่องดียังไงก็ต้องดี
ถ้าให้ทำแบบฝึกหัดนั้นอีกครั้ง ตอนนี้ข้อดีของ หนุ่ม กะลา อันดับแรกที่คุณจะเขียนลงไปคืออะไร
ยิ้มเก่ง ง่ายๆ เลยนะครับ เพราะยิ้มของผมมันสร้างมิตรภาพมาเยอะมากเลยนะ แฟนเพลงรุ่นหลังหลายๆ คนก็ติดตามเพราะว่าผมยิ้ม กลายครั้งที่เกือบมีเรื่องต้องหวดกับคน พอเรายิ้มขึ้นมาแก๊กหนึ่ง ปฏิกิริยาแรงๆ ของเขามันเปลี่ยนไปเลย ทำให้รู้สึกว่านี่ล่ะคือเรื่องดีของเรา เล็กๆ น้อยๆ ไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่ก็ได้ เพราะว่ามันดีแล้ว มันก็คือเรื่องที่ดีอยู่ดี
- หนุ่มมีความเชื่อแบบไทยๆ เพื่อความสบายใจในการใช้ชีวิต ตั้งแต่การเปลี่ยนชื่อตัวเองมาแล้วถึง 2 ครั้ง ชื่อแรกคือ ยุทธพงษ์ ที่แม่ตั้งตามชื่อเจ้าของโรงงานที่ทำงานอยู่ แล้วตัวอักษรในนั้นเป็นกาลกิณีกับดวงของหนุ่มเกือบทุกตัว จนเปลี่ยน กฤตพจน์ ที่ถามมาจากคุณป้าข้างบ้าน แล้วพบว่าเป็นกาลกิณียิ่งกว่าเดิม ก่อนจะเปลี่ยนเป็นที่ ณพสิณ แสงสุวรรณ์ อย่างทุกวันนี้
- หนุ่มถือเคล็ดว่าก่อนจะขึ้นเวทีเขาต้องสวดมนต์ เอามือแตะพื้นและก้าวขึ้นเวทีด้วยเท้าซ้ายเท่านั้น และก่อนหน้านี้เคยมีความเชื่อว่า ถ้าใส่เสื้อตัวไหนขึ้นเวทีแล้วโชว์ไม่สนุก ไม่ว่าจะมีเหตุผลอื่นมาประกอบ หรือจะชอบเสื้อตัวนั้นขนาดไหนก็ตาม เขาจะทิ้งเสื้อตัวนั้นทันที
- คอนเสิร์ต MY NAME IS NUM KALA 19 ปีที่รอ #ไม่มาก็คิดถึง จัดแสดงที่ธันเดอร์โดม เมืองทองธานี ในวันเสาร์ที่ 19 และวันอาทิตย์ที่ 20 พฤษภาคม เริ่มขายบัตรตั้งแต่วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม ที่ GMMLIVE.COM, ThaiTicketMajor.com และไทยทิคเก็ตเมเจอร์ บัตรยืนราคา 1,200 บาท และบัตรนั่งราคา 2,000 บาท