หลังจากอยู่ในฐานะพระเอกสุดหล่อขวัญใจมหาชนมาหลายปี ระยะหลังมานี้ ซงจุงกิ เริ่มมองหาบทบาทที่ท้าทายมากขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่รับแสดงในภาพยนตร์เรื่อง Hopeless แบบไม่รับค่าตัวเมื่อปีที่แล้ว มาในปีนี้ซงจุงกิท้าทายตัวเองไปอีกขั้นในภาพยนตร์เรื่อง My Name is Loh Kiwan ด้วยการสวมบทบาทชายชาวเกาหลีเหนือผู้แปรพักตร์ไปอยู่ประเทศเบลเยียม ผสานเข้ากับเรื่องรักโรแมนติกระหว่างคนไม่สมบูรณ์แบบที่เจ้าตัวให้สัมภาษณ์ว่า พึงพอใจกับผลงานนี้มาก อย่างไรก็ตาม ส่วนอื่นๆ ของภาพยนตร์กลับไม่นำพาให้กลายเป็นผลงานขึ้นหิ้งไปได้
ภาพยนตร์สร้างจากนวนิยายเรื่อง I Met Loh Kiwan เมื่อปี 2011 ของ โชแฮจิน ที่เล่าถึงชีวิตของ โรกีวาน (ซงจุงกิ) ชายชาวเกาหลีเหนือผู้หนีจากระบอบเผด็จการย้ายไปอยู่ที่จีนกับแม่ แต่ก็ต้องเผชิญชะตากรรมของผู้อพยพจนแม่เสียชีวิต เขานำเงินก้อนสุดท้ายหนีไปอยู่ที่เบลเยียมและยื่นสมัครในฐานะผู้ลี้ภัย ซึ่งต้องใช้เวลาร่วมปีกว่าเรื่องจะได้รับการพิจารณา
โรกีวานต้องหาทางเอาชีวิตรอดให้ได้ในบ้านเมืองที่ไม่คุ้นเคย และต้องเผชิญกับเรื่องราวเลวร้ายต่างๆ นานา ที่แย่ไปกว่านั้นเขาได้เจอกับ มารี หญิงสาวชาวเกาหลีใต้ฐานะดีที่ย้ายมาอยู่กับครอบครัวในเบลเยียม ซึ่งแอบขโมยเงินก้อนสุดท้ายของเขาไป
มารีเป็นอดีตนักกีฬาแม่นปืนผู้มีบาดแผลในใจจนทำตัวเสเพลและติดอยู่ในวังวนยาเสพติด เธอไม่คิดจะผูกพันกับหนุ่มเกาหลีเหนือคนนี้สักเท่าไร แต่เพราะเหตุการณ์หลายๆ อย่างทำให้ทั้งคู่เริ่มพัฒนาความสัมพันธ์ไปพร้อมๆ กับการเล่าถึงชะตากรรมของผู้อพยพที่ต้องเผชิญ นำไปสู่บทสรุปที่ไม่ยากเกินคาดเดา
ตัวภาพยนตร์เป็นเหมือนยาขมผสมน้ำตาลที่อยากเล่าชะตากรรมของผู้อพยพ เปิดฉากด้วยบรรยากาศแสนหดหู่ แม้จะอยู่ท่ามกลางความสวยงามของเมืองในยุโรป แต่ชีวิตของผู้อพยพก็แทบไม่เหลือคุณค่าความเป็นคน เนื้อหามากกว่าครึ่งพูดถึงการดิ้นรนเพื่อรอคอยสิ่งที่เหมือนจะไม่มีวันมาถึง ทั้งฉากที่โรกีวานต้องกลายเป็นคนไร้บ้าน เข้าไปอยู่ในห้องน้ำสาธารณะ ถูกทำร้าย กดขี่ หากชีวิตจะดีขึ้นมาหน่อยก็ต้องยอมทำงานที่คนในประเทศนั้นไม่ทำกัน รวมทั้งการต้องยอมเปลี่ยนตัวตนเพื่อให้ชีวิตอยู่รอด
“ลูกตายไม่ได้นะ ต้องไปอยู่ในที่ดีๆ แล้วมีชีวิตให้ได้อยู่อย่างภาคภูมิใจในชื่อของลูกเอง”
บทสนทนาในวาระสุดท้ายของแม่กับโรกีวานน่าจะบอกคร่าวๆ ถึงที่มาของชื่อภาพยนตร์ที่แตกต่างจากนิยาย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับโรกีวานก็คือ เขากลับใช้ชีวิตในชื่อของตัวเองไม่ได้ ไหนจะต้องโดนทรยศหักหลังจากผู้อพยพด้วยกันเองเพื่อเอาตัวรอด ความเจ็บปวดยังไม่จบแค่นั้น เมื่อภาพแฟลชแบ็กไปสู่เหตุการณ์ก่อนหน้าที่เขาจะมาถึงเบลเยียมจากเงินที่ขายร่างของแม่ และการที่ผู้อพยพมักพกมีดโกนไว้ที่แขนเสื้อเพื่อจบชีวิตตัวเอง เหล่านี้คือชะตากรรมของผู้อพยพที่ภาพยนตร์กระหน่ำใส่คนดู
อย่างไรก็ตาม เนื้อหาก็เพิ่มความหวานหม่นๆ ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างเขากับมารีที่เหมือนคนที่มีชีวิตแหว่งหวิ่นมาเติมเต็มส่วนที่ขาดไปให้แก่กัน ซึ่งมันอาจจะพัฒนาไปได้ถึงหนังรักคลาสสิกของเอเชียอย่าง เถียนมีมี่ หรือจะโฟกัสไปที่วิกฤตตัวตนของผู้อพยพแบบเดียวกับ Last Chismas แต่ ภาพยนตร์กลับไปไม่ถึงเลยสักทาง โดยเรื่องราวความรักกลายเป็นแค่การให้รางวัลกับคนดู เพื่อให้เนื้อหาไม่หดหู่เกินไปเท่านั้นเอง
จุดอ่อนอย่างแรกคือ ความสัมพันธ์ระหว่างโรกีวานกับมารีเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนแทบไม่ได้สำรวจชีวิตของทั้งสองฝ่าย หากจะมีการพึ่งพาอาศัยกันบ้างก็เกิดขึ้นจากเหตุการณ์เฉพาะหน้าที่ผู้กำกับพยายามเชื่อมโยงตัวละครทั้งสองคนเข้าด้วยกัน แต่มองข้ามการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกันจนดูแล้วรู้สึกไม่อิน และอาจจะเพราะด้วยเนื้อหาที่ว่าด้วยชีวิตของโรกีวาน คาแรกเตอร์ของมารีจึงค่อนข้างไร้มิติ เป็นเพียงเด็กมีปัญหาที่ประชดชีวิต ทั้งๆ ที่ถ้าหากมองอีกมุมหนึ่ง เรื่องราวของมารีและโรกีวานมีบางอย่างที่คล้ายกันคือ การหาหนทางเริ่มต้นใหม่ ส่วนเมื่อมองไปที่ปมในใจของมารีก็เรียกได้ว่าเรื่องใหม่และโดดเด่น จนคิดว่าน่าจะมีประเด็นขยายความมากกว่านั้น แต่เนื้อเรื่องก็ไม่ได้กลับไปให้ความสำคัญในจุดนั้นอีกเลย
ในขณะที่อุปสรรคของความรักก็ค่อนข้างจำเจ ทั้งการที่ต้องต่อสู้เอาชีวิตรอดจากอันธพาลเนื่องจากความประมาทในการใช้ชีวิตของมารี หรือการที่พ่อของฝ่ายหญิงพยายามกีดกันโรกีวานออกไปจากชีวิตของลูก แต่ทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปด้วยดี รวมถึงชีวิตของโรกีวานที่ฉายภาพความทุกข์ทรมานมาตลอดทั้งเรื่อง วันดีคืนดีที่ทุกอย่างจะคลี่คลายมันก็ง่ายจนเหมือนหนังคนละม้วน
ส่วนสิ่งที่ต้องชื่นชมก็คือ ผลงานการแสดงของซงจุงกิที่แทบไม่เหลือคราบพระเอกขวัญใจมหาชนเอาไว้เลย ทั้งการแสดงออกทางสีหน้าที่ดูใสซื่อ เจียมตัว และแววตาสิ้นหวัง แต่ก็แฝงไว้ความปรารถนาที่จะมีชีวิตที่ดีกว่า ส่วนอีกหนึ่งตัวละครที่มาน้อยแต่ก็เปล่งประกายทุกครั้งที่อยู่ในซีนคือ บท ซอนจู ผู้อพยพเชื้อสายเกาหลี-จีน แสดงโดย อีซังฮี ที่แม้จะต้องเผชิญชีวิตที่ยากลำบากและไม่อยากจะสนใจชีวิตคนอื่น แต่ก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่เธอพร้อมจะมอบให้คนรอบตัวเสมอ อีกส่วนคือ งานด้านภาพและการให้แสงที่เต็มไปด้วยความอึมครึม หม่นหมอง แม้ในฉากที่แฮปปี้ที่สุดก็ยังอยู่ในแสงสลัว ซึ่งดูเหมือนผู้สร้างต้องการสร้างความแตกต่างในฉากจบของเรื่อง
โดยรวมแล้ว ภาพยนตร์ส่งสารที่น่าสนใจโดยเฉพาะเรื่องราวของผู้ลี้ภัยที่คนดูอาจนึกไม่ถึง แต่ก็ยังขาดความลงตัวในการผนวกเอาความบันเทิงสอดใส่เข้าไปไว้ข้างใน ซึ่งถ้าหากอยากหาความรื่นรมย์ ภาพยนตร์เรื่องนี้อาจจะไม่ตอบโจทย์สักเท่าไร เพราะแม้จะได้รางวัลปลอบใจด้วยตอนจบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง แต่อารมณ์อาจจมดิ่งระหว่างทาง
รับชม My Name is Loh Kiwan ได้ทาง Netflix