บมจ.เอ็ม วิชั่น หรือ MVP เตรียมขึ้นแท่น Tech Company อีกราย หลังจากเพิ่มธุรกิจใหม่ คือ ดิจิทัล และ Metaverse เข้ามาในปีนี้ ซึ่งจะเป็นส่วนธุรกิจสำคัญที่ทำให้ผลประกอบการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในปี 2565
โอภาส เฉิดพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เอ็ม วิชั่น (MVP) เปิดเผยในงาน Opportunity Day ว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2565 จะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญจากปีนี้ เนื่องจากบริษัทปรับเปลี่ยนการดำเนินธุรกิจที่มุ่งสู่ธุรกิจด้านเทคโนโลยีมากขึ้น เพื่อสร้างรายได้ใหม่ๆ โดยเฉพาะธุรกิจด้านบล็อกเชน และ Metaverse ทำให้ปัจจุบันสัดส่วนรายได้ที่มาจากธุรกิจเทคโนโลยีมีสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นมามากกว่าธุรกิจเดิมที่เกี่ยวข้องกับการจัดงานอีเวนต์และการท่องเที่ยวอย่างมีนัยสำคัญ
โดย MVP จะมีการย้ายกลุ่มอุตสาหกรรมในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) จากกลุ่มธุรกิจบริการไปเป็นธุรกิจเทคโนโลยีในช่วงต้นปี 2565 หลังจากสัดส่วนรายได้จากธุรกิจเทคโนโลยีมีมากกว่าธุรกิจเดิมคือให้บริการจัดงานอีเวนต์ค่อนข้างมาก
สำหรับแผนธุรกิจปี 2565 ธุรกิจด้านเทคโนโลยีจะมีโปรเจกต์ใหม่ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ Metaverse ที่จะมีการเปิดพื้นที่ในประเทศใหม่ๆ เพิ่มอีก 5 ประเทศ ภายใต้โปรเจกต์ Metaverse Global ซึ่ง MVP ได้เข้าไปเป็นผู้ร่วมให้บริการขายพื้นที่ บริหารพื้นที่ รวมถึงทำการตลาดและโฆษณา
โดยปัจจุบัน Metaverse Global ได้เปิดพื้นที่ไปแล้วใน 2 ประเทศ คือ ประเทศไทย และเมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยพื้นที่ใน Metaverse ของประเทศไทยในเฟส 1 ที่ทองหล่อ มีจำนวน 89,000 บล็อก ได้มีผู้เข้ามาจองซื้อไปครบแล้ว และเตรียมเปิดเฟส 2 ในช่วงต้นปี 2565 หลังจากที่บริษัทมีการทดสอบระบบและได้รับการอนุญาตจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในระบบเรียบร้อย ขณะที่พื้น Metaverse ในเมืองดูไบ ได้เปิดให้จองซื้อในรอบแรกเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2564 และเปิดรอบ 2 ในวันนี้ (22 ธันวาคม)
“กระแส Metaverse ที่กำลังจะได้รับความนิยมมากขึ้นในอนาคต มองว่าเป็นโอกาสที่สำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจและสร้างโอกาสในการสร้างรายได้ใหม่ของบริษัท”
โอภาสกล่าวว่า รายได้ในธุรกิจ Metaverse มาจากการจัดหาที่ดิน การบริหารที่ดิน การทำการตลาด และการโฆษณา ซึ่งในอนาคตหากมีการจัดงานต่างๆ ในโลกของ Metaverse บริษัทก็จะมีช่องทางสร้างรายได้จากการรับจัดงานในโลก Metaverse เข้ามาเสริมได้เช่นกัน โดยบริษัทวางงบลงทุนไว้ที่ 8 ล้านบาท ในปี 2565
สำหรับธุรกิจเดิมคือรถบ้านคาราวานนั้น หากการท่องเที่ยวไทยฟื้นตัวได้ดี บริษัทมีแผนจะเพิ่มจำนวนรถบ้านคาราวานอีก 200 คัน จากปัจจุบันมีอยู่ 148 คัน อย่างไรก็ตาม ยังต้องดูสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดในปีหน้าว่าจะคลี่คลายลงอย่างชัดเจนหรือไม่ โดยก่อนหน้านี้ บริษัทได้ทำงานร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ในการพัฒนาระบบที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว โดยใช้ประโยชน์จากบล็อกเชนและโทเคน เพื่อช่วยผลักดันภาคการท่องเที่ยวไทยให้ปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัลมากขึ้น ซึ่งจะเห็นความชัดเจนในต้นปี 2565
นอกจากนี้ บริษัทจะกระตุ้นให้ผู้ถือเหรียญ MVP Coin นำเหรียญไปใช้บริการต่างๆ ที่บริษัทได้เข้าร่วม ซึ่งจะทำให้บริษัทมีรายได้เข้ามา โดยปัจจุบันบริษัทมีการรับรู้รายได้จาก MVP Coin เข้ามาแล้ว 82 ล้านบาท เหลืออีก 147 ล้านบาท ที่จะทยอยรับรู้เข้ามาในปี 2565
ส่วนธุรกิจการจัดงานอีเวนต์ในปี 2565 บริษัทวางแผนการจัดงาน Mobile Expo 2 ครั้ง ได้แก่ ช่วงเดือนกุมภาพันธ์และตุลาคม ซึ่งหากดำเนินการได้ตามแผน รายได้จากการจัดงานอีเวนต์จะกลับมาหนุนธุรกิจให้ฟื้นตัวได้อย่างโดดเด่นมาก
“ผลการดำเนินงานของ MVP ได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว หลังจากที่เรามีการปรับตัวเข้าสู่ธุรกิจเทคโนโลยี ซึ่งสามารถสร้างรายได้ใหม่ๆ เข้ามาได้มาก และไม่ได้รับผลกระทบจากโควิดเหมือนกับธุรกิจหลักของเรา ซึ่งในปีนี้ก็คาดว่าผลขาดทุนคงจะไม่มีแล้ว ก็คงจะมีกำไรได้ และเติบโตขึ้นต่อเนื่องในปีหน้า” โอภาสกล่าว
ผลประกอบการงวด 9 เดือน ปี 2564 มีรายได้รวม 121.27 ล้านบาท เทียบกับงวด 9 เดือน ปี 2563 ที่มีรายได้รวม 144.31 ล้านบาท และปี 2563 ทั้งปีมีรายได้ 209.08 ล้านบาท
ขณะที่กำไรสุทธิงวด 9 เดือน ปี 2564 มีจำนวน 40.36 ล้านบาท เทียบกับงวด 9 เดือน ปี 2563 ที่ขาดทุนสุทธิ 17.85 ล้านบาท และทั้งปี 2563 มีขาดทุนสุทธิ 43.46 ล้านบาท
ด้านความเคลื่อนไหวราคาหุ้น MVP ตั้งแต่ต้นปีจนถึง 21 ธันวาคม 2564 ราคาปรับเพิ่มขึ้น 195.16% โดยมีราคาสูงสุดและต่ำสุดในรอบ 52 สัปดาห์อยู่ที่ 8.20 บาท และ 1.17 บาท ส่วนล่าสุดวันนี้ (22 ธันวาคม) ราคาหุ้นอยู่ที่ 3.72 บาท เพิ่มขึ้น 1.64% จากวันก่อนหน้า
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP